Wednesday, March 30, 2022

"เทอมสอง สยองขวัญ" 3 เรื่อง 3 ผู้กำกับ 6 นักแสดง จะพาคุณไปสัมผัสความสยองระดับตำนาน

ได้เวลาเปิดประสบการณ์สยองบทใหม่ เมื่อเรื่องเล่าสุดหลอนกลายเป็นความสยองที่คุณต้องเจอเองกับตัวใน เทอมสอง สยองขวัญ ภาพยนตร์สยองขวัญแห่งปีเรื่องล่าสุดของ “สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล” โดย “3 ผู้กำกับรุ่นใหม่” แท็กทีม “6 นักแสดงวัยรุ่นมากฝีมือ” อย่าง “เจมส์ ธีรดนย์, นาน่า ศวรรยา, กิต Three Man Down, เบลล์ เขมิศรา, มิวสิค BNK48 และ แคร์ ปาณิสรา” มาเผชิญหน้า ท้าทาย และถ่ายทอด “3 เรื่องสยองที่ยังไม่เคยมีใครกล้าเล่า” ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สยองในห้องเชียร์ที่จะทำให้ปีนี้เป็นเชียร์ปีสุดท้าย, ผีนักศึกษาแพทย์สุดหลอนจะกลับมาทวงคืนเตียงซีที่หอพักในวันสถาปนามหา’ลัยทุกปี, ตึกวิทย์เก่าที่ยืนหนึ่งเรื่องตำนานสยองแค่เลี้ยวเข้าผิดทิศชีวิตก็อาจสู่ขิตไปตลอดกาล ทั้ง 3 เรื่อง 3 รสชาติที่จะทำให้ผู้ชมต้องสยอง สะดุ้ง และสนุกไปในคราวเดียวกัน

เชียร์ปีสุดท้าย กำกับโดย พลอย-ภัทรภร วีระศักดิ์วงศ์ (ผู้กำกับจากบริษัท Hello Filmmaker) เมื่อเฟรชชีของคณะฯ ต้องเข้าร่วมกิจกรรมเชียร์เหมือนเช่นทุกๆ ปี แต่แล้ว เมษา (มิวสิค BNK48) นักศึกษาปีหนึ่งกลับได้ยินและเห็น “บางอย่าง” ในห้องเชียร์โดยไม่คาดฝัน นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของเธอและ ต่าย (แคร์ ปาณิสรา) เพื่อนสนิทต้องเปลี่ยนไป และห้องเชียร์รุ่นนี้อาจจะกลายเป็นรุ่นสุดท้ายของมหา’ลัย! #เฟรชชี่สถาปัตย์เจอดีที่ห้องเชียร์

เดอะซี กำกับโดย ก๋วยเตี๋ยว-จตุพงศ์ รุ่งเรืองเดชาภัทร์ (ผู้กำกับจากบริษัท มิตรกับภาพ) เรื่องเล่าในวันสถาปนาฯ “ผีนักศึกษาแพทย์” จะกลับมานอนที่ “เตียงซี” ของเขาทุกปี แต่ปีนี้ แทน (เจมส์ ธีรดนย์) นักศึกษาแพทย์ปีหนึ่งจำเป็นต้องอยู่หอเพียงคนเดียวในคืนนั้น เขาจะเอาชีวิตรอดจากเจ้าของเตียงซีในตำนานได้หรือไม่ #หมอปีหนึ่งโดนผีทวงเตียง

ตึกวิทย์เก่า กำกับโดย ต้น-เอกภณ เศรษฐสุข (ผู้กำกับจากบริษัท กระต่ายตื่นตัว) ใครๆ ก็ไม่กล้าย่างกรายไปที่ตึกวิทย์เก่าที่มีตำนานสยองขวัญเป็นที่เลื่องลือ แต่ไม่ใช่เขาคนนี้ กอล์ฟ (กิต Three Man Down) น้องชายสุดบื้อที่ดันเอาของมาส่งให้ มีน (เบลล์ เขมิศรา) ผู้เป็นพี่สาวผิดตึก! เลี้ยวผิดชีวิตเปลี่ยน และอาจนำพาสองพี่น้องและผองเพื่อนสู่ขิตไปตลอดกาล #เด็กวิทย์ปีสี่โดนผีที่คณะรุมหลอก

สนับสนุนข้อมูลโดย ข่าวสารภาพยนตร์ รีวิวหนังดัง

Sunday, March 27, 2022

พี่นาค 3 กับปรากฏการณ์หนังผีภาคต่อที่พยายามขยายจักรวาลของตัวเอง

ตลอดช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าหนังไทยที่พอจะสร้างภาคต่อ และมีจักรวาลเป็นของตัวเองนั้นคือหนังอย่างไทบ้าน เดอะซีรีส์ ซึ่งภาคล่าสุดอย่างหมอปลาวาฬก็เพิ่งจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน จะว่าไปแล้วความเหนียวแน่นของกลุ่มผู้ชมที่เป็นแฟนหนัง ก็จัดได้ว่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งในความสำเร็จอยู่ไม่น้อย และถึงอย่างนั้น ดูเหมือนว่าหนังอย่างพี่นาคเอง ก็จะมีองค์ประกอบที่จับตลาดผู้ชมในยุค Youtuber และ Tiktok แบบอยู่หมัดอยู่เช่นกัน

จะว่าไปเมื่อเราย้อนกลับไปที่ความสำเร็จของ “พี่นาค” ภาคแรกนั้น ถือว่าค่ายหนังอย่างไฟว์สตาร์โปรดักชั่น เองก็ตัดสินใจเลือกนักแสดงนำจากการนำยูทูบเบอร์ที่เป็นกระแสในห้วงเวลานั้นอย่าง เอม-วิทวัส รัตนบุญบารมี หรือ เอม ตามใจตุ๊ด ซึ่งมียอดวิวในแต่ละคลิปทะลุหลักล้าน โดยตัวเลขเหล่านี้น่าจะพอการันตีให้กับนายทุนได้ ว่าถ้าเลือกเขามารับบทนำ แฟนรายการของเอมก็น่าจะมีความรู้สึกสนใจและอยากจะชมการแสดง และรายได้ของหนังภาคแรกก็คือคำตอบทั้งหมด

ไม่ใช่แค่นักเพียงนักแสดงนำเท่านั้น องค์ประกอบหนังแนวตลกวิ่งหนีผี ถือเป็นหนังที่ผู้ชมชาวไทยให้การตอบรับอยู่เสมอ นอกจากนี้คงต้องยอมรับว่าวิธีการกำกับเรื่องราวของ ไมค์-ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ สามารถหลอมรวมความตลกโปกฮาในสถานการณ์วาบป่วง เข้ากับฉากบรรยากาศขมุกขมัวชวนหลอนได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งในหลายๆครั้งถ้าหากหนังเรื่องนี้กลายร่างเป็นหนังสยองขวัญแบบเต็มสตรีม อาจจะมีความมืดหม่นและถึงเลือดถึงเนื้อมากกว่าที่เราได้เห็นอย่างแน่นอน

อีกหนึ่งความน่าสนใจของพี่นาค คือการหยิบเอาประเด็นเรื่องผีไม่กลัวพระ และความเชื่อเรื่องการบวชนาค เอามาบอกเล่าได้อย่างน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆในแต่ละภาค ไม่ว่าจะเป็นภาคแรกที่ตัวละครของออกัส-วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์ ถูกพ่อบังคับให้บวช ทั้งที่ตัวเองไม่ได้อยากจะมาอยู่ในวัด แต่แล้วระหว่างทาง (และระหว่างหนีผี) เขาก็ได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่จะอยู่ภายใต้ผ้าเหลือด้วยความเข้าใจ และหนังยังอาศัยการเปรียบเทียบระหว่าง “ผี” และ “คน” ที่ฝ่ายแรกอยากจะบวชแต่ไม่มีโอกาส ในขณะที่อีกฝั่งมีโอกาสแต่ไม่ใส่ใจ

จะว่าไปทัศนคติในหนังเรื่องพี่นาคถือได้ว่าเป็นแนวคิดแบบหัวโบราณ (Old Fashioned) ตามครรลองของศาสนาพุทธ ที่ว่าด้วยการบวชของชายหนุ่ม คือ “หน้าที่” ของลูกผู้ชายอะไรประมาณนั้น ซึ่งระหว่างทางการใส่สถานการณ์หนีผี หรือฉากตลกทั้งหมดทั้งมวลเข้ามาก็เพื่อจะนำพาคนดูจากเหตุการณ์แรกไปสู่เหตุการณ์ต่อๆมา ซึ่งถามว่าสลักสำคัญกับตัวเรื่องมากแค่ไหนก็อาจจะบอกว่าบางส่วนนั้นสามารถริบออกและตัดทอนได้ เพราะใจความสำคัญของหนังอยู่แค่เพียงต้นเรื่อง และปลายท้ายที่จะขมวดปมเรื่องราว

สนับสนุนข้อมูลโดย หนังซับไทย


Friday, March 25, 2022

ตำนานยังไม่จบ Paramount เผยกำหนดฉาย Scream 6

สรรค์ความระทึกเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็น ไทเลอร์ กิลเล็ตต์ (Tyler Gillett) กับ แมตต์ เบตติเนลลี-โอลพิน (Matt Bettinelli-Olpin) จะกลับมากำกับ และ เจมส์ แวนเดอร์บิลต์ (James Vanderbilt) กับ กาย บิวซิก (Guy Busick) จะกลับมาเขียนบท รวมถึง เควิน วิลเลียมสัน (Kevin Williamson) ผู้เขียนบท ‘Scream’ (1996), ‘Scream 2’ (1997), และ ‘Scream 4’ (2011) จะยังคงรับหน้าที่อำนวยการสร้างฝ่ายบริหารเช่นเดิมด้วย

Scream (2022) เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จด้านรายได้และคำวิจารณ์อย่างน่าเซอร์ไพรส์ ซึ่งผู้สร้างเปรียบภาพยนตร์เรื่องเป็นที่ภาคต่อและรีบูตในเรื่องเดียวกัน โดยเป็นการนำตัวละครในภาพยนตร์ต้นฉบับ ไม่ว่าจะเป็น เนฟ แคมป์เบิล (Neve Campbell), คอร์ตนีย์ ค็อกซ์ (Courteney Cox) และ เดวิด อาร์เคว็ตต์ (David Arquette) รวมถึง สกีต อูลริช (Skeet Ulrich) ที่ปรากฏตัวด้วยเทคโนโลยี De-Aged ให้กลับมาเผชิญหน้ากับเหล่าตัวละครนำชุดใหม่ที่ถูกวางตัวให้สานต่อแฟรนไชส์ต่อไปในอนาคต

‘Scream’ (2022) เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกด้วยรายได้ 30 ล้านเหรียญ และสามารถทำรายได้โดยรวมทั่วโลกไปแล้วถึง 140 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 4,700 ล้านบาท จากทุนสร้างเพียง 24 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 800 ล้านบาท ด้วยความที่ ‘Scream’ มักจะนำประเด็นด้านวัฒนธรรมวัยรุ่นและสังคมและแต่ละยุคมาใส่เป็นพื้นหลังได้อย่างมีสีสันอยู่เสมอ จึงทำให้น่าสนใจว่าทีมผู้สร้างจะยกระดับ ‘Scream 6’ ขึ้นไปอีกระดับอย่างไรบ้าง

สนับสนุนข้อมูลโดย ข่าวสารภาพยนตร์ รีวิวหนังดัง

Thursday, March 24, 2022

Ambulance รถฉุกเฉินฉบับ ระเบิดรถ สาดกระสุน!

ผลงานหนังแอ็คชั่นสุดเดือดของผู้กำกับชื่อดังอย่าง ไมเคิล เบย์ ที่กลับมานั่งแท่นหัวขบวนความมันส์อีกครั้ง หลังจากที่เขากำกับ 6 Underground ให้กับ Netflix ในปี 2019 โดยการกลับมาครั้งนี้คนชอบหนังระเบิดภูเขาเผากระท่อมต้องไม่พลาด

รถฉุกเฉิน ด่วนท้าตาย

วิลล์ ชาร์ป (ยาห์ย่า อับดุล-มาทีน) ทหารผ่านศึกที่ได้รับการประดับยศ เป็นหัวหน้าครอบครัวผู้แสนดีและซื่อสัตย์ เขากำลังต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตครั้งใหญ่ เมื่อภรรยาของเขาต้องเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งในเร็ววัน มิเช่นนั้นแล้วเขาอาจจะสูญเสียคนที่เขารักไปตลอดกาล วิลล์จึงตัดสินใจไปขอความช่วยจากพี่ชายครอบครัวอุปถัมภ์อย่างแดนนี่ (เจค จิลเลนฮาล) คนที่เขารู้ดีอยู่แก่ใจด้วยซ้ำไปว่าไม่ควรจะไปเอ่ยปากขอร้อง

แดนนี่คืออาชญากรมากความสามารถ แถมยังเจ้าเสน่ห์อีกต่างหาก ทันทีที่วิลล์ไปร้องขอ ประจวบเหมาะกับแผนการที่แดนนี่วางเอาไว้ นั่นคือการไปปล้นธนาคารในลอสแองเจลิส ด้วยเงินเดิมพันสูงถึง 32 ล้านดอลลาร์ ทว่าระหว่างการปล้นนั้นดันมีนายตำรวจแซ็ค พาร์กเกอร์ (แจ็คสัน ไวท์) ที่กะจะมาจีบพนักงานสาวในธนาคาร ส่งผลให้แผนปล้นที่ควรจะราบรื่นต้องสะดุด แดนนี่จำเป็นต้องจับนายตำรวจเป็นตัวประกันก่อนจะหาทางหลบหนี แต่ทุกอย่างไม่ง่ายอย่างนั้น เมื่อแผนที่วางเอาไว้เกิดผิดที่ผิดทางไปหมด ทำให้แดนนี่และวิลล์ตัดสินใจจี้รถพยาบาลฉุกเฉิน โดยมีตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บอยู่บนนั้น พร้อมด้วย แคม ธอมป์สัน (ไอซา กอนซาเลซ) หน่วยกู้ชีพฉุกเฉินฝีมือดี อยู่บนรถคันดังกล่าว ส่งผลให้พวกเขาถูกไล่ล่าจาก FBI และตำรวจในเมืองแอลเอ!

การหยิบจับแรงบันดาลใจจากบรรดาหนังแอ็คชั่นคลาสสิกยุคใหม่อาทิ Die Hard และ Taking of Pelham One Two Three และภาพยนตร์คลาสสิกยุค 1970s อย่าง The French Connection และ Dog Day Afternoon จับเข้ามาผสมผสานกันเพื่อให้ Ambulance ในเวอร์ชั่นนี้เป็นหนังความยาวสองชั่วโมงที่จะป่วนประสาทคนดูไปตลอดทาง รวมไปถึงการออกแบบตัวละครที่ไม่มีคนดีหรือเลวร้อยเปอร์เซ็นต์ มีการเปลี่ยนแปลงไปมากันอยู่ตลอดทั้งเรื่อง เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชม

สนับสนุนข้อมุลโดย ข่าวเมืองไทย

Wednesday, March 23, 2022

ทำความรู้จัก Walker Scobell เด็กชายผู้ที่ Ryan Reynolds หมายมั่นว่าจะให้เป็น Deadpool คนต่อไป

เข้าฉายเป็นที่เรียบร้อยสำหรับภาพยนตร์เรื่อง ‘The Adam Project’ ภาพยนตร์ไซไฟเรื่องใหม่ของผู้กำกับชอว์น เลวี (Shawn Levy) ที่แท็กทีมกับไรอัน เรย์โนลส์ (Ryan Reynolds) มาสร้างความมันต่อจากภาพยนตร์เรื่อง Freeguy 

โดย The Adam Project เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึง อดัม นักบินจากโลกอนาคตปี 2050 ที่ได้ขโมยยานติดไทม์แมชชีนเพื่อกลับไปยังปี 2018 เพื่อตามหาคนรักแต่ดันเกิดข้อผิดพลาดจนเขามาโผล่ในปี 2022 และที่นี่เองที่เขาได้พบกับตัวเขาเองในวัย 12 ปี และเพื่อให้สามารถตามหาแฟนสาวได้ทัน อดัมทั้ง 2 จำเป็นต้องร่วมมือกันก่อนจะสายเกินไป

เชื่อว่า ใครที่ได้ดู The Adam Project ต้องสงสัยแน่นอนว่าเจ้าเด็กที่เล่นเป็นอดัมตอนเด็กนี่เป็นใคร? ทำไมต่อปากต่อคำกับเรย์โนลส์ได้เก่งเหลือเกิน ไม่เพียงเท่านั้น จากกระแสของภาพยนตร์ก็ทำให้เด็กคนนี้กลายเป็นขวัญใจของใครหลาย ๆ คนไปเรียบร้อย

รู้จัก ‘วอล์กเกอร์ สโกเบลล์’ (Walker Scobell) นักแสดงที่ใครดูก็ต้องอุทานว่า เจ้าเด็กนี่กิน Deadpool เข้าไปชัด ๆ สโกเบลล์เป็นเด็กชายอายุ 13 ปี เขาเป็นหนึ่งในเด็กหลายร้อยคนที่มาออดิชันบทอดัมตอนเด็ก และเขาแทบไม่เคยผ่านงานแสดงมาเลย ทั้งเลวีหรือเรย์โนลส์ก็ไม่เคยเห็นเขาเลยด้วยซ้ำ แต่ในขณะที่ดูเทปแคสต์อยู่นั้น พวกเขากลับพบว่าสโกเบลล์เป็นเด็กที่ดูจริงใจแม้จะไร้ประสบการณ์ทางงานแสดง

พวกเขาจึงลองเรียกสโกเบลล์มาทดสอบหน้ากล้องดู และสโกเบลล์ก็โชว์สิ่งที่เหนือความคาดหมายให้ทุกคนได้ดู เขาท่องบทภาพยนตร์เรื่อง Deadpool 2 ออกมาให้ทุกคนเห็น ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่มาจากการท่องจำ แต่มันคือการฝังรากลึกจากในสมอง นั่นเพราะเขาเป็นแฟนพันธ์ุแท้ของฮีโร่ตัวนี้นั่นเอง สโกเบลล์ดู Deadpool ตั้งแต่ 7 ขวบและผลลัพธ์ของสิ่งนี้ คือการที่ทำให้เขากลืนกินบุคลิกของเรย์โนล เข้าไปโดยไม่รู้ตัว

โดยเลวียังบอกอีกว่า “เราไม่สามารถสั่งให้ใครเล่นตลกได้ เช่นเดียวกันเราไม่สามารถสั่งให้ใครเป็นเรย์โนลส์ได้ แต่เรากลับพบว่าการที่สโกเบลล์ดู Deadpool ตั้งแต่ 7 ขวบ ทำให้เกือบครึ่งชีวิตของเขามีแต่ความเป็นเรย์โนลส์อยู่ในตัว ทุกท่วงท่า อิริยาบถ การนึกคิด จังหวะการพูด เหมือนโคลนของเรย์โนลส์อย่างกับแกะ ถึงขนาดที่เรย์โนลส์ยังอุทาน ‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย’ และสิ่งที่สโกเบลล์ชอบทำในกองเป็นประจำก็คือ การขิงทุกคนว่าท่องบทของ Deadpool 2 ได้ ทั้งผมกับเรย์โนลส์ก็แบบ เงียบไปเลย ไอ้หนู!”

เห็นได้ชัดเลยว่าความรักที่สโกเบลล์มีต่อ Deadpool ทำให้เขาเหมาะสมกับบทบาทใน The Adam Project เป็นอย่างมาก เพราะความเหมือนเรย์โนล์นั้นมันไม่ใช่การประดิดประดอย แต่มันคือธรรมชาติที่หล่อหลอมเขาออกมาตั้งแต่เด็ก และการที่สโกเบลล์เลือกเปิดตัวด้วยงานสุดหิน ก็ทำให้เราอดชมไม่ได้ว่า นับจากนี้เส้นทางการแสดงของเขาคงสดใสไม่น้อยเลยล่ะ

สนับสนุนข้อมูลโดย หนังซับไทย

Tuesday, March 22, 2022

จากสึนามิสู่คดีฆาตกรรม... IN THE WAKE 24 มี.ค.นี้

เปิดฉากการไล่ล่าที่เหล่าคอหนังสายสืบสวนไม่ควรพลาด ฆาตกรย้อนฆ่า ดราม่าสุดเข้มข้นจากอาฟเตอร์เอฟเฟกต์ภัยพิบัติช็อกโลกที่เป็นจุดเริ่มตันของโศกนาฏกรรมสุดสะพรึงไม่สิ้นสุด จนกลายมาเป็นภาพยนตร์เปี่ยมคุณภาพที่แฟนหนังต้องจับตา "In the Wake ฆาตกรย้อนฆาตกรรม" ผลงานล่าสุดจากผู้กำกับมากฝีมือ เซเซะ ทากาฮิสะ (The 8-Year Engagement, Ito) ที่จะขอพาคุณดำดิ่งสู่ความจริงอันดำมืด ผ่านเรื่องราว 9 ปีหลังจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติครั้งร้ายแรงเข้าถล่มญี่ปุ่น ได้เกิดคดีฆาตกรรม 2 คดีขึ้นที่เมืองเซนได ในจังหวัดมิยากิ โดยเหยื่อจากทั้ง 2 คดีต่างถูกสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากน้ำมือของฆาตกรคนเดียวกัน แต่พอยิ่งสืบค้นลึกลงไป ทางตำรวจก็ค้นพบความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างอดีตนักโทษที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกกับเหยื่อทั้ง 2 คน ที่อาจจะนำไปสู่คำตอบแท้จริงของแรงจูงใจในการฆ่าครั้งนี้ก็เป็นได้

แต่ก่อนอื่นเราขอย้อนความไปถึง "เหตุการณ์สึนามิ 3.11" ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในภาพยนตร์และสร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งโลก เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2011 ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9 แม็กนิจูดบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ตามมาด้วยคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ (สูงสุดอยู่ที่ราว 40 เมตร) ต่อด้วยการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 1 หมื่น 6 พันคน และมีผู้สูญหายมากถึง 2 พันคน อีกทั้งผู้คนมากมายยังต้องอพยพออกจากบ้านเกิด แล้วที่ซ้ำร้ายกว่านั้นคือทางฝั่งประชาชนเริ่มรู้สึกไม่พอใจที่รัฐบาลเอาเงินมาถลุงกับมหกรรมกีฬา แทนที่จะเอาไปแก้ปัญหาที่เป็นผลกระทบจากสึนามิ 3.11 ตามมาด้วยความคาราคาซังจากโศกนาฏกรรมที่คนจำนวนมากยังต้องอาศัยในบ้านพักชั่วคราว อีกทั้งบางพื้นที่ก็ถูกจัดให้เป็นโซนอันตราย หรือเรื่องกากกัมมันตภาพรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ไม่รู้จะกำจัดได้อย่างไร เพราะฉะนั้นในเมื่อสังคมญี่ปุ่นยังคงถูกหลอกหลอนจาก "อาฟเตอร์เอฟเฟกต์ของ 3.11" ซึ่งต่อมามันได้ส่งผลบานปลายจนลามไปสู่ปัญหาสังคมที่ยากจะรับมือ และอาชญากรรมตามมาอีกนับไม่ถ้วน

แล้วทีนี่ใครกันแน่ที่เป็นฆาตกร? ธรรมชาติหรือมนุษย์ รัฐบาลหรือประชาชน คนเบื้องบนหรือคนเบื้องล่าง หนังเรื่องนี้จะทำให้คุณได้รู้! เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมดูความจริงสุดช็อกกันไว้ให้ดี อะไรกันคือความลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคนตายในคดีนี้? ปมที่แท้จริงของฆาตกรคืออะไร? แล้วใครต้องรับผิดชอบ?... "In the Wake ฆาตกรย้อนฆาตกรรม" ความจริงทั้งหมดจะถูกเปิดเผย 24 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

สนับสนุนข้อมูลโดย รีวิวหนังใหม่ หนังชนโรง

Monday, March 21, 2022

The Adam Project แม่และลูกชาย ภาพสะท้อนตัวตนในหนังเดินทางข้ามเวลา

การเดินทางข้ามกาลเวลา เป็นหนึ่งในพล็อตไซไฟยอดฮิตที่ไม่ว่าจะหนังหรือซีรีส์ ล้วนตกหลุมรักในปริศนาที่ยังไม่เคยได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถเป็นไปได้หรือเกิดขึ้นจริง แต่หลากหลายความเป็นไปได้ ก็ทำให้มนุษย์เชื่อว่าสักวันหนึ่งการเดินทางข้ามกาลเวลาจะเกิดขึ้นได้จริง และ The Adam Project ได้หยิบเอาธีมดังกล่าวมาใช้สอยอีกครั้งในฐานะหนังครอบครัว

อดัม รี๊ด (ไรอัน เรย์โนลส์) หลังจากที่เขาถูกไล่ล่าจากโลกอนาคตในปี ค.ศ.2050 เขาได้ตัดสินใจจะย้อนเวลากลับไปในปี  ค.ศ.2018 เพื่อกลับไปช่วยแฟนสาวที่เกิดหายตัวไป แต่ด้วยความผิดพลาด ทำให้อดัมย้อนกลับไปในปี ค.ศ.2022 ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางกลับไปยังที่บ้านของตัวเอง เขาได้พบกับอดัมในวัยเด็กอายุ 12 ปี (วอล์กเกอร์ สโคเบลล์) และทำให้เขาต้องร่วมมือกับตัวเองเพื่อกอบกู้อนาคต รวมไปถึงช่วยเหลือแฟนสาวของเขาอีกด้วย

อดัม ในวัย 12 ปี ปากดี ปากแจ๋วราวกับเป็นร่างอวตารของไรอัน เรย์โนลส์ ชนิดถอดพิมพ์เดียวกันมาเป๊ะ สำเนาถูกต้อง เขากำลังต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากหลังจากสูญเสียพ่อ (มาร์ค รัฟฟาโล่) ไปเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้เขาต้องอยู่กับแม่แอลลี่ รี๊ด (เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์) ที่ต้องคอยลางานมาเข้าห้องปกครอง หลังจากอดัมมักจะมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนจนต้องโดนพักการเรียน

เป็นอีกครั้งที่อดัมในวัยผู้ใหญ่ (ที่เข้าใจโลกมากขึ้น) กล่าวกับแม่ว่า บางครั้งวัยรุ่นมักจะเห็นคนเป็นแม่เป็นเหมือนที่ระบาย เป็นกระสอบทราย แต่ท้ายที่สุดแล้วลูกชายจะกลับมาหาแม่เสมอ “คุณมีแม่ที่ดีนะ” แอลลี่ กล่าว “ใช่แล้วครับ ผมมีแม่ที่ดีที่สุด” อดัมตอบ วินาทีนั้นแอลลี่อาจจะรู้สึกว่าเธอได้คุยกับผู้ชายคนหนึ่งที่เคยผ่านเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับชีวิตของเธอ แต่สำหรับอดัมแล้ว สิ่งที่เขาได้คุยกับแอลลี่เป็นทั้งคำขอโทษและคำปลอบประโลมแม่ของเขาเอง ว่าในอดีตที่ผ่านเลยมาสิ่งที่เขาเคยทำกับแม่นั้น ในวันนี้เขาทั้งรู้สึกผิดและเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น เขา “พลาด” อะไรในชีวิตไป

ในแววตาของอดัมในวัยผู้ใหญ่ เขาได้เรียนรู้ว่าบางครั้งการเติบโตนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้มแข็งและสามารถรับมือได้กับทุกเรื่องเสมอไป เมื่อถึงจุดที่เรา “ไม่ไหว” การแสดงออกก็ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ควรสื่อสารออกไปเช่นกัน

ท่ามกลางบริบทของการเป็นหนังไซไฟเดินทางข้ามกาลเวลา มีฉากแอ็คชั่นโครมครามระหว่างทาง แต่สิ่งที่น่าประทับใจและทำให้เรามองเห็นความสัมพันธ์ของตัวละครระหว่าง “แม่และลูกชาย” โดยเฉพาะในช่วงเวลาครึ่งแรกของเรื่อง ได้ทำให้เราเชื่อเหลือเกินว่า ทำไมเมื่อวันหนึ่งอดัมได้กลายเป็นหนุ่มแน่น เสน่ห์ของเขาที่ทำให้ลอร่า (โซอี้ ซัลดาน่า) ตกหลุมรักนั้น ไม่ใช่แค่เพราะว่าเขาหล่อ คารมดี แต่ภายใต้คำพูดเพียงไม่กี่คำนั้น สามารถจับใจความได้ไม่ยากเย็นนักว่าผู้ชายคนนี้ “ใส่ใจ” และ “เอาใจใส่” กับคนฟังมากแค่ไหน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความรักและความอบอุ่นที่อดัมในวัยเด็กเคยได้รับมาจากแม่ของเขา โดยที่ตัวเองยังไม่เคยรู้ตัวเลยก็ตาม ถ้าไม่เชื่อลองย้อนกลับไปเปิด The Adam Project กันอีกสักหน เผื่อทำอะไรตกหล่นไประหว่างทางในรอบแรกนะ

สนับสนุนข้อมูลโดย แนะนำหนังการ์ตูนแอนิเมชั่น

Sunday, March 20, 2022

เจมี ฟ็อกซ์ เผยเหตุผลว่าทำไมรูปลักษณ์ของ Electro จึงเปลี่ยนไปใน Spider-Man: No Way Home

เชื่อว่าใครหลายคนคงได้ชม ‘Spider-Man: No Way Home’ กันไปแล้ว ในใจของใครหลายคนอาจจะเกิดความสงสัยว่าทำไม Electro ตัวร้ายจาก ‘The Amazing Spider-Man 2’ ไม่เป็นตัวสีฟ้าเหมือนกับจักรวาลเดิมของตัวเอง พอมาจักรวาล MCU สีถูกปรับให้เหมือนกับหนังสือการ์ตูนคือสีเหลือง

เจมี ฟ็อกซ์ (Jamie Foxx) ผู้รับบทวายร้ายมนุษย์ไฟฟ้า อธิบายว่าทำไม Electro ถึงเปลี่ยนสี โดยเขากล่าวว่าต้องขอบคุณเทคโนโลยีของ Stark ที่ช่วยเปลี่ยนให้ตัวละครสีฟ้ากลายเป็นสีเหลืองที่ดูสมจริงกว่า “พวกเรามีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเราคิดกันอย่างรอบคอบเลยล่ะครับว่าสีของตัวละครไม่ควรจะเป็นสีฟ้า” ฟ็อกซ์กล่าวผ่านเบื้องหลังฉบับพิเศษใน ‘Spider-Man: No Way Home’ ที่วางจำหน่ายในรูปแบบดิจิทัล

ส่วนทางออกที่พวกเขาคิดกันว่าทำไม Electro จึงเปลี่ยนสี ก็เพราะการใช้ Arc Reactor ของ Tony Stark เป็นสื่อในการเสริมพลัง จนทำให้รูปแบบพลังงานของ Electro เปลี่ยนไป นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับชุดเครื่องแต่งกายรูปแบบใหม่ด้วย

“พวกเราเปลี่ยนแปลงเขาให้สมบรูณ์ขึ้น” ซานยา มิลโควิช เฮย์ส (Sanja Milkovic Hays) หัวหน้าฝ่ายออกแบบชุด เผยเกี่ยวกับการออกแบบชุดใหม่ Electro ทางด้านฟ็อกซ์ดูจะถูกใจไม่น้อย “มันดูสมจริงขึ้นมาก” เขากล่าว “ผมคิดอย่างถี่ถ้วนเลยเรื่องชุดรูปแบบเก่าและใหม่ แต่แบบนี้มันเหมาะสมกว่า คุณก็คิดแบบนั้นใช่ไหมล่ะ”

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Electro คืออีกหนึ่งตัวร้ายขโมยซีนใน ‘Spider-Man: No Way Home’ และการออกแบบตัวละครใหม่โดยอ้างอิงจากคอมิกแต่ทำให้ดูสมจริงและเหมาะกับเวอร์ชันหนังโรงก็ทำให้ Electro กลายเป็นที่จดจำรวมถึงเท่ขึ้นจริง ๆ ติดตามอัพเดทเรื่องราววงการหนัง ข่าวสารภาพยนตร์ รีวิวหนังดัง

Friday, March 18, 2022

The Labyrinth จากเกมผีเกาหลีสู่หนังโรงเรียนหลอน กับพระเอกหน้าหล่อ ชานฮี (SF9)

ไม่ใช่แค่ฝั่งอเมริกาเท่านั้นที่หยิบ “เกม” เอามาดัดแปลงให้กลายเป็นภาพยนตร์ แต่เกาหลีเองก็มีเกมที่ได้รับความนิยมอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นคือเกมสยองขวัญอย่าง White Day: A Labyrinth Named School อันเป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับการสร้างหนังผีเรื่อง The Labyrinth

จากเกมสู่หนังสยองขวัญ

ว่าที่ผู้กำกับอย่างซอง วูน ซึ่งเขาเติบโตมากับเกมนี้และชอบเกมนี้อยู่แล้ว เขารู้ดีว่าผู้ชมอยากจะเห็นอะไรจากตัวเกมบ้าง ไม่ว่าจะเป็นตัวละครนักเรียน ผีต่างๆ แต่นอกเหนือจากนั้นเขาอยากจะเพิ่มสิ่งใหม่ๆเข้าไปในเรื่อง โดยเวอร์ชั่นภาพยนตร์นี้จะมีการละลายพฤติกรรมตัวละครในเวอร์ชั่นเกมและสร้างสรรค์อุปนิสัยบางอย่างขึ้นมาใหม่ด้วย

เนื่องจากในเวอร์ชั่นเกม เรื่องราวทั้งหมดจะดำเนินผ่านภายใต้ตัวละคร “ฮีมิน” เพียงคนเดียว แต่เมื่อเป็นหนังมุมมองของตัวละครอื่นๆจึงถูกใส่เข้ามาเพิ่มเติม ประกอบกับเหตุการณ์ลึกลับต่างๆที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งนี้ก็ยังถูกเล่าผ่านตัวละครอื่นๆอาทิ โซยัง และซุงอาด้วย เท่านั้นยังไม่พอ นอกจากจะเป็นหนังผีแล้ว มันยังมีความแฟนตาซีที่ว่าด้วยการไล่ผี ทำให้หนังสามารถเปิดพื้นที่ในการเล่นสนุกกับงานซีจี และยังมีการแทรกสอดประเด็นทางสังคมเข้าไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรุนแรงในโรงเรียน การคุกคามทางเพศ ความเป็นแม่ที่รักและอยากจะปกป้องลูกสาวของตัวเอง

คังชันฮี หรือ ชานฮี จากวง SF9 ผู้รับบทตัวเอกของเรื่อง

ชานฮี หนึ่งในสมาชิกวงบอยแบนด์ SF9 เดบิวต์กันมาตั้งแต่ปี 2016 โดยวงนี้วางโพซิชั่นนิ่งของตัวเองในฐานะวงที่มีความหลากหลายและแอบซ่อนความเซ็กซี่เอาไว้ในตัว แถมบรรดาความสูงของสมาชิกในวงที่จัดได้ว่าสูงปรี๊ดทำให้พวกเขายังได้รับการมอบตำแหน่ง “วงนายแบบ” กันเลยทีเดียว

สำหรับชานฮีนั้นมีตำแหน่งเป็นนักเต้นหลัก แร็ปเปอร์เสริม และยังเป็นน้องเล็กของวง โดยตัวเขานั้นเรียนจบมาจาก School of Performing Arts Seoul (SOPA) เมื่อปี 2018 และก่อนหน้าที่จะได้เดบิวต์เขายังเคยเป็นเด็กฝึกในค่าย Fantagio ก่อนย้ายมาฝึกที่ FNC และร่วมทีมที่ NEOZ School  นอกจากจะเป็นศิลปินแล้วผลงานการแสดงของเขาเรียกได้ว่ามีทั้งซีรีส์ดังมากมาก อาทิ  Garden of Heaven, The Queen's Classroom, Signal, Coffee House 4.0, SKY Castle และเรื่องล่าสุดกับ True beauty ส่วนผลงานภาพยนตร์ได้แก่ Family-Hood, The King's Case Note และ The Gossip  สำหรับบทบาทอีฮีมิน นั้นเป็นตัวละครหนุ่มแนวโก๊ะๆ เด๋อๆ ที่เพิ่งย้ายโรงเรียนมาใหม่เป็นวันแรก โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาเป็นทายาทสืบทอดความสามารถพิเศษในการไล่ผีได้ ประกอบกับเขาเคยเป็นนักกีฬาเทควันโด ทำให้เขามีทักษะในการต่อสู้ และทนไม่ได้เวลาเห็นคนรอบตัวถูกทำร้าย แต่เหนืออื่นใดคือแค่วันแรกที่มาโรงเรียนแห่งนี้เขาก็แอบชอบเพื่อนร่วมห้องของตัวเอง ที่บังเอิญลืมไดอารี่ทิ้งไว้ในโรงเรียน จนกลายเป็นเหตุผลให้เขาต้องแอบย่องเอามันมาคืนในกลางดึก! The Labyrinth เข้าฉายในโรงภาพยนตร์แล้ว ดูที่นี่คลิ๊ก

Thursday, March 17, 2022

ภาพแรกของ Pinocchio เวอร์ชันไลฟ์แอ็กชัน ของ Disney ที่นำแสดงโดย ทอม แฮงส์

Disney+ ได้เปิดเผยภาพแรกของ ‘Pinocchio’ เวอร์ชันไลฟ์แอ็กชัน ที่ดัดแปลงจากแอนิเมชันสุดคลาสสิกของ Disney เมื่อปี 1940 จากฝีมือการกำกับของ โรเบิร์ต เซเม็กคิส (Robert Zemeckis) จาก ‘Back To The Future’ (1985), ‘Forrest Gump’ (1994) และ ‘The Witches’ (2020) และ นำแสดงโดย ทอม แฮงส์ (Tom Hanks) นักแสดงคู่บุญของ เซเม็กคิส

นี่เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งระหว่าง เซเม็กคิส และ แฮงส์ ภายหลังจากประสบความสำเร็จร่วมกันใน ‘Forrest Gump’ (1994), ‘Cast Away’ (2000) และ ‘The Polar Express’ (2004) อีกทั้งยังมีโปรเจ็กต์ ‘Here’ ที่กำลังพัฒนาร่วมกันในขณะนี้ด้วย

ภาพแรกของ ‘Pinocchio’ นี้ ได้เผยให้เห็น แฮงส์ ในบทของ Geppetto ช่างไม้ที่สร้างหุ่นไม้ที่มีชื่อว่า Pinocchio ขึ้นมา ซึ่งหุ่นไม้ดังกล่าวได้รับพรจากนางฟ้าให้มีชีวิต และ Geppetto ก็เลี้ยงดู Pinocchio ราวกับลูกชายของเขา โดยโทนของภาพดังกล่าวได้รับอิทธิพลมาจากแอนิเมชันต้นฉบับโดยตรง

‘Pinocchio’ เมื่อปี 1940 นั้น ได้รับการดัดแปลงจากนิยายเรื่อง ‘The Adventures of Pinocchio’ เมื่อปี 1883 ของ การ์โล กอลโลดี (Carlo Collodi) ซึ่ง Disney ได้นำเสนอออกมาในรูปแบบมิวสิคัล และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในแอนิเมชันที่คลาสสิกที่สุดของ Disney

นักแสดงอื่น ๆ ที่มาร่วมแสดงนั้น ได้แก่ เบนจามิน อีวาน เอนส์เวิร์ธ (Benjamin Evan Ainsworth) ให้เสียงพากย์เป็น Pinocchio, โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ (Joseph Gordon-Levitt) รับบท Jimmy Cricket, ซินเธีย เอริโว่ (Cynthia Erivo) รับบท Blue Fairy, คีแกน ไมเคิล คีย์ (Keegan-Michael Key) รับบท Honest John, ลอร์เรน แบรกโซ (Lorraine Bracco) รับบท Sofia the Seagull ซึ่งเป็นตัวละครใหม่ และ ลุค อีแวนส์ (Luke Evans) รับบทเป็น The Coachman

สนับสนุนข้อมูลโดย ข่าวสาร UFO เรื่องลี้ลับและสายมูเตลู

Wednesday, March 16, 2022

สายลมในดงมะกอก: หนังไตรภาคของ อับบาส เคียรอสตามี โดย ก้อง ฤทธิ์ดี

กำกับอิหร่าน อับบาส เคียรอสตามี มาฉายให้ผู้ชมในไทยได้รับชม ผู้ที่คุ้นเคยกับเคียรอสตามีและหนังของเขา คงดีใจที่จะได้ชมหนังทั้งสามเรื่องบนจอใหญ่เสียที ส่วนผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ร่วมสมัย หรือแม้แต่ผู้ชมที่ชอบหนังซึ้ง ๆ กินใจแต่ไม่เคยดูหนังฝั่งอิหร่านมาก่อน หนังทั้งสามเรื่องนี้จะเปิดโลกทัศน์และประสาทสัมผัส เพราะกาลเวลาที่ผ่านไปไม่ได้ลดทอดคุณค่าและความมัศจรรย์ของหนังทั้งสามเรื่องนี้เลย

หนังทั้งสามเรื่องมีชื่อเรียกรวม ๆ ว่า ไตรภาคโกเกอร์ (The Koker Trilogy) ตามชื่อจังหวัดหรือแคว้นของอิหร่านที่เกิดเหตุการณ์ในหนัง ส่วนชื่อหนังทั้งสามเรื่องได้แก่ Where’s the Friend’s Home?, Life and Nothing More และ Through the Olive Trees

ว่ากันง่าย ๆ หนังทั้งสามเรื่องนี้ของเคียรอสตามี (เขาเสียชีวิตไปเมื่อปี 2016 ในวัน 76 ปี) เป็นหนังที่เล่าเรื่องชีวิตในชนบท เรียบง่าย ลึกซึ้ง อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นธรรมชาติในการจดจ้องมองตัวละครทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่กลับมองเห็นปรัชญามนุษย์นิยมสุดแสนจับใจ อีกทั้งยังมีความ “สมัยใหม่” ในการเล่นกับรูปแบบของภาพยนตร์ การใช้หนังซ้อนหนัง การซ้อนทับความจริงกับหนัง หรือหนังกับความจริง และการใช้ศักยภาพ “การรู้ตัวว่าเป็นภาพยนตร์” ในแบบที่นักทฤษฎีทั้งหลายต่างเขียนหนังสือออกมาเป็นเล่ม ๆ เพื่อพยายามเข้าใจกระบวนการความคิดของคนทำ

ใน Where’s the Friend’s Home (1987) พล็อตเรื่องนั้นง่ายแสนง่ายตามสไตล์อิหร่าน คือเด็กน้อยในประถมดันเผลอเอาสมุดการบ้านเพื่อนกลับมาบ้าน ด้วยความที่กลัวครูจะดุเพื่อน เด็กชายจึงออกตามหาบ้านเพื่อนที่อยู่อีกหมู่บ้าน เท่านั้นเอง ทั้งเรื่องคือการตามหาบ้านเพื่อน จนพบเจอกับตัวละครคนอื่น ๆ ก่อนจะที่ฉากจบของหนังจะเล่นเอาคนดูอึ้ง เป็นฉากจบที่น่าจะมีคนจำได้มากที่สุดฉากหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์โลก

สนับสนุนข้อมูลโดย ข่าวสารภาพยนตร์ รีวิวหนังดัง


Tuesday, March 15, 2022

"แดง พระโขนง" รวมสุดยอดนักแสดงเด็ก ร่วมถ่ายทอดมิตรภาพเพื่อน

เพราะจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์สยองขวัญ แดง พระโขนง ของ เอ็ม พิคเจอร์ส และ บั้งไฟ ฟิล์ม มิตรภาพความเป็นเพื่อนของ 2 ผู้กำกับ เอ็กซ์-วัชรพงษ์ ปัทมะ และ แจ็ค-เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์ หรือ แจ็ค แฟนฉัน ที่ผูกพันกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทั้งเอ็กซ์และแจ็คจึงตั้งใจถ่ายทอดความอบอุ่นของมิตรภาพระหว่าง “แดง” และเพื่อน ๆ ในหนังเรื่องแรกของพวกเขาด้วย ดังนั้นการคัดเลือกนักแสดงเด็กเป็นอีกสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญ งานนี้จึงรวมดาวนักแสดงเด็กเอาไว้แบบแน่นคับจอเลยทีเดียว

เริ่มกันที่ น้องเมลิค เอเฟ่ ไอย์กูน รับบทเป็น “แดง” เป็นที่จดจำของแฟน ๆ จากละคร “ทองเนื้อเก้า” และตอกย้ำความฮอตจากบท “พลายงาม” ในละคร “วันทอง” ด้าน น้องมากิ-มาชิดา สุทธิกุลพานิช นักแสดงเด็กที่แจ้งเกิดจากบทสุดดราม่าในซีรีส์ “พรุ่งนี้...จะไม่มีแม่แล้ว” ขณะที่ น้องโบ๊ต-ภูวรักษ์ คำสิงห์ ที่โด่งดังในฐานะ “ยูทูปเบอร์ชื่อดัง” ลูกชายของอดีตนักมวยโอลิมปิค สมรักษ์ คำสิงห์ ต่อกันด้วย ไบค์วีค-สุรชัย บ่อสุวรรณ หนุ่มน้อยขวัญใจแฟน ๆ รายการ “ดาวินชี่...เกมถอดรหัส” และนักชิมวัยละอ่อนแห่งชลบุรี และ เอ็มเจ ซูเปอร์เทน แร็ปเปอร์ตัวจิ๋วจากประเทศแคเมอรูน ด้วยหน้าตาที่มีเอกลักษณ์บวกพรสวรรค์พ่นแร็ปแซ่บอีหลีผ่านรายการ “ซูเปอร์เทน” ทำให้เขาเป็นที่รู้จักของผู้ชมชาวไทยเป็นจำนวนมาก

เอ็กซ์ และ แจ็ค เผยว่า “หนัง “แดง พระโขนง” นอกจากจะเกิดจากที่เรา 2 คนอยากเล่าเรื่องของ “แดง” ลูกของ “แม่นาก” แล้ว ก็เกิดจากมิตรภาพความเป็นเพื่อนของเรา 2 คนด้วย ก็เลยอยากใส่เรื่องสายใยความผูกพันระหว่างเพื่อนเข้าไป เพราะเป็นสิ่งที่เราเล่าได้ชัดเจนมากที่สุด จากนั้นก็นึกถึงคนที่จะมารับบท “แดง” และเพื่อน ๆ ของเขา คนแรกที่ได้เลยคือน้องโบ๊ต-ภูวรักษ์ เอามาแคสท์เป็น “แดง” แต่หลังจากที่ใช้เวลาพัฒนาบทของหนังไป 3 ปี โบ๊ตก็โตเกินกว่าที่จะเป็นแดง (หัวเราะ) เราก็ให้เขาเป็น “ศรี” ซึ่งคาแร็คเตอร์ก็คือโบ๊ตเลย เป็นหัวโจกของกลุ่ม ดื้อ ๆ แสบ ๆ ผสมทะเล้น เราเขียนบท “ศรี” มาจากความเป็นโบ๊ต หลังจากนั้นก็หาคนที่มารับบท “แดง” แคสท์เด็กมา 10 คน เราก็มาถูกใจน้องเมลิค เพราะเขามีแววตาเศร้า แต่เวลาเขานิ่งก็ดูน่ากลัว ใบหน้าเขามีความหลอนผสมความน่ารัก ซึ่งตรงกับคาแร็คเตอร์ “แดง” มาก”

“ส่วน ไบค์วีค-สุรชัย เหมาะกับบทเป็น “เฮง” คาแร็คเตอร์จะเป็นเด็กใจดี มีน้ำใจ เขาจะเป็นเพื่อนสนิทของแดง ฟาก เอ็มเจ แสดงเป็น “สำลี” ซึ่งจะเป็นลิ่วล้อของ “ศรี” จะชอบพูดเป็นภาษาแร็พ บท “สำลี” เราก็เอาตัวตนของเอ็มเจในรายการ “ซูเปอร์เทน” มาใส่เลย เขาเล่นได้น่ารักและมีเสน่ห์ ปิดท้ายที่ น้องมากิ-มาชิดา สุทธิกุลพานิช รับบทเป็น “มะลิ” ถึงจะเป็นผู้หญิงคนเดียวของกลุ่ม แต่เป็นผู้นำ หน้าหวาน มีน้ำใจ แต่ไม่ยอมใคร จะคอยปกป้องแดงเสมอ  น้องมากิเล่นเก่งมาก ประสบการณ์เขาผ่านซีรีส์แนวดราม่ามาแล้ว เพราะฉะนั้นบรีฟงานไม่เท่าไหร่ก็เข้าใจบทเลย ก่อนจะเปิดกล้องเราก็จะให้เด็ก ๆ มาเวิร์คช็อปเพื่อละลายพฤติกรรม ตอนแรก ๆ ก็ยังไม่สนิทกันมาก จังหวะการแสดงอาจยังไม่เข้าที่ แต่พอผ่านไปสักพักเด็ก ๆ เริ่มสนิทและรักกัน พวกเขาก็ดีขึ้น สนิทกันเร็วมาก ไบค์วีคเล่นตลกได้ เอ็มเจก็สนิทกับ โบ๊ต-คำสิงห์ มาก เด็กแต่ละคนมีมุกของตัวเอง เราก็สบายใจมาก แต่เหนื่อยตรงที่ควบคุมลำบาก (หัวเราะ)  เราต้องวางแผนกับทีมงานอย่างดี จะต้องมีคนคอยรับหน้าที่ดุ มีคนรับหน้าที่ปลอบ แอ็คติ้งโค้ชจะช่วยกันดูเรื่องการแสดงของเด็ก ไม่อย่างนั้นคงเหนื่อยกว่านี้ครับ” เอ็กซ์ และ แจ็ค กล่าว

ติดตามชมความสามารถของแก๊งเด็กเหล่านี้ในภาพยนตร์สสยองขวัญ “แดง พระโขนง” วันที่ 31 มีนาคมนี้  หนังซับไทย

Monday, March 14, 2022

The Batman จะเล่าเรื่องราวต้นกำเนิดของ Rogues Riddler, Penguin และ Catwoman

The Batman จะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวจุดกำเนิดของ Batman (รับบทโดย โรเบิร์ต แพตตินสัน – Robert Pattinson) เพียงแค่ตัวละครเดียว แต่จะบอกเล่าเรื่องราวต้นกำเนิดของตัวละครวายร้ายคู่ปรับตัวอื่น ๆ ในเรื่องด้วย ทั้ง Riddler (รับบทโดย พอล ดาโน – Paul Dano), Penguin (รับบทโดย โคลิน ฟาร์เรล – Colin Farrell) และ Catwoman (รับบทโดย โซอี้ คราวิทซ์ – Zoe Kravitz)

แมตต์ รีฟส์ (Matt Reeves) ผู้กำกับ ได้ตอบคำถาม Q&A เกี่ยวกับ ‘The Batman’ เกี่ยวกับการปรากฏตัวของอาชญากรประหลาดมากมายภายใน Gotham City ซึ่งเจ้าตัวยืนยันเรื่องนี้ด้วยตัวเอง รีวิวซีรี่ย์ใหม่ แนะนำซีรี่ย์ NETFLIX  The Batman  จะเป็นเรื่องราวเริ่มต้นตัวละครต่าง ๆ ครับ” รีฟส์กล่าว โดยแรงบันดาลใจของเขามาจาก ‘The Long Halloween’ ซึ่งเป็นหนังสือการ์ตูนที่ยอดเยี่ยมตอนหนึ่งของ Batman เรื่องราวที่รีฟส์ถ่ายทอดออกมาจะเป็นช่วงเริ่มต้นที่ Bruce Wayne เพิ่งเป็น Batman ได้เพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น และการที่มีฮีโรอย่าง Batman ก็เป็นตัวจุดชนวนให้เกิดอาชญากรที่แต่งตัวประหลาดเกิดขึ้นตามไปด้วย

“เมื่อผมเริ่มโปรเจกต์นี้ ผมคิดกับตัวเองว่า ‘ว้าว ฉันเข้าใจเรื่องราวได้ทั้งหมดเลย’ รวมถึงตัวละครที่ผมไม่ค่อยชอบด้วย แต่ผมก็เข้าใจพวกเขานะ อาจจะเพราะผมเริ่มอ่านการ์ตูนก็ได้” รีฟส์กล่าว “เมื่อผมเริ่มอ่านการ์ตูน ผมก็เริ่มตั้งคำถามว่าการล้างแค้นคืออะไร การเป็นศาลเตี้ยคืออะไร มันอาจเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเรา ซึ่งตัว Batman เองก็กำลังหาทางออกให้กับความรู้สึกเหล่านี้ของเขา การเริ่มเป็น Batman ในช่วง 1 – 2 ปีของเขาไม่ทำให้อาชญากรรมลดลงเลย และตัวเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย”

ตัวละครต่าง ๆ ใน ‘The Batman’ นั้น ฆาตกรต่อเนื่อง Edward Nashton ยังไม่ได้เป็น Riddler, นักเลงระดับกลาง Oswald “Oz” Cobblepot ยังไม่ได้เป็น Penguin และหัวขโมยที่เข้าใจยาก Selina Kyle ยังไม่ได้เป็น Catwoman อย่างไรก็ตามเรื่องราวของพวกเขาทุกคนจะถูกเล่าเพิ่มเติมผ่านซีรีส์เกี่ยวกับกรมตำรวจ ‘Gotham City PD’ ที่จะออกฉายผ่านทาง HBO Max

Sunday, March 13, 2022

Dark World อนาคตดิสโทเปีย ฉบับไทยแลนด์แดนเถื่อน

แม้ช่วงที่หนังไทยเรื่อง Dark World เกม ล่า ฆ่า รอด เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปีก่อน แต่ดูเหมือนคนส่วนมากก็ยังไม่กล้าจะกลับเข้าโรงหนังซักเท่าไหร่ โชคดีที่ล่าสุดหนังมาลง Netflix เป็นที่เรียบร้อยท่ามกลางความเห็นของผู้ชมในเชิงลบ แนะนำซีรี่ย์เกาหลี

อันที่จริงแล้วจะบอกว่าหนังอย่าง Dark World น่าสนใจตั้งแต่วิธีคิด การออกแบบฉากหลังเป็นโลกอนาคตหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 3 สิ้นสุดลง จนทำให้สภาพเศรษฐกิจล่มสลาย ประเทศกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน แต่ปัญหามันติดอยู่ตรงนี้นี่แหละครับ คุณผู้อ่านตรงที่ว่า เรายังไม่รู้สึกว่าฉากหลังของ Dark World นั้นเป็นความแร้นแค้น กันดาร ยากจนข้นแค้น อย่างแท้จริง ประกอบกับงานออกแบบเครื่องแต่งกายยิ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวละครกำลังแต่งตัวกันสุดฤทธิ์เพื่อเข้าร่วมงานประกวดชุดสุดปังในวันฮาโลวีนซะมากกว่า

ที่สำคัญตัวละครเอกของเรื่องเป็นผู้หญิงสามคน รัน (น้ำหวาน รักษ์ณภัค), เฟียร์ (แซมมี่ ปัณฑิตา) และ ไอรีน (ดิว อริสรา) มีชะตากรรมผูกพันกันตั้งแต่เด็ก หลังจากที่พวกเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของเกม “มอญซ่อนผ้า” ซึ่งได้สร้างบาดแผลให้กับพวกเธอตั้งแต่วันนั้น จวบจนปัจจุบันสามสาวได้เติบโตและไปมีเส้นทางเป็นของตัวเอง

สิ่งที่น่างุนงงจนชวนเกาหัว คือในเมื่อเราไม่เข้าใจในฉากหลังของเรื่องราวแล้ว ความเป็นเหตุเป็นผลที่ตัวละครจะสามารถโน้มน้าวให้คนดูคล้อยตามการกระทำและพฤติกรรม จึงกลายเป็นปัญหาในประการถัดมา จริงอยู่ที่โลกอนาคตอาจจะอยู่ภายใต้ผู้ทรงอิทธิพลอย่างกวิน (วิลลี่ แมคอินทอช) โดยเขาสามารถสร้างเกม “ค้าประเพณี” ที่เอาคนมาแข่งกันทำภารกิจโหดให้ฆ่ากันตายไปข้าง โดยที่ไม่มีเรื่องของกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ตามที่ได้บอกไป เมื่อความไม่รัดกุมของบท ที่ไม่อาจจะทำให้เราเชื่อได้ว่าระบบเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นใน Dark World ได้กลายเป็นสภาวะจำยอมที่ทำให้ตัวละครในเรื่องต้องกระโจนเข้าสู่เกมดังกล่าว ตรรกะทุกอย่างก็พังทลายทันที

จริงอยู่ที่ Dark World เกม ล่า ฆ่า รอด ค่อนข้างจะล้มเหลวที่จะทำให้เราเชื่อได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในฉากหลังนั้นดูสมจริง แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่าหนังเรื่องนี้ พยายามนำเสนอมิติอื่นๆของหนังไทย ที่ไม่ได้วนเวียนซ้ำซากอยู่แค่ หนังรัก ตลก อีสานและผีหลอก อย่างน้อยมันถือเป็นความพยายามที่น่านับถือ ที่จะฉีกความ “เพลย์เซฟ” กลัวเจ๊ง จนเราไม่ได้ดูอะไรใหม่ๆกับหนังไทยเมนสตรีมในรอบหลายปีที่ผ่านมาก็ตาม

Friday, March 11, 2022

ริดลีย์ สก็อตต์ เดินหน้าสร้าง Alien 5 จะกำกับโดยผู้กำกับ Don’t Breathe

วงการภาพยนตร์ได้ฮือฮากันอีกแล้ว เมื่อ The Hollywood Reporter ได้รายงานว่า ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) จะอำนวยการสร้างภาพยนตร์ ‘Alien 5’ โดยจะได้ เฟเด อัลบาเรซ (Fede Álvarez) ผู้กำกับ ‘Evil Dead’ (2013) และ ‘Don’t Breathe’ (2016) มารับหน้าที่เขียนบทและกำกับภาพยนตร์ภาคใหม่ในแฟรนไชส์ ‘Alien’ นี้

รายงานดังกล่าวระบุว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่เดินเรื่องต่อเนื่องจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ในแฟรนไชส์ โดยจะนำเสนอเรื่องราวของกลุ่มตัวละครใหม่ อัลบาเรซ นั้น เป็นแฟนตัวยงของแฟรนไชส์ ‘Alien’ โดยเขาได้นำเสนอไอเดียการสร้างภาคต่อให้แก่ สก็อตต์ เมื่อหลายปีก่อน และตอนนี้ทางสตูดิโอ 20th Century Studios ของ สตีฟ แอสเบล (Steve Asbell) ก็ได้เปิดไฟเขียวให้สร้างนำไอเดียของ อัลบาเรซ มาสร้างเป็นภาพยนตร์ได้ ซึ่งจะเป็นเรื่องราวใหม่ทั้งหมด พร้อมกับตัวละครชุดใหม่ โดยจะไม่มีส่วนเชื่อมโยงใด ๆ กับภาพยนตร์ในแฟรนไชส์ ‘Alien’ ก่อนหน้านี้

‘Alien 5’ จะได้รับการฉายบนบริการสตรีมมิง Hulu ที่ Disney ได้ถือหุ้นใหญ่เอาไว้ นอกเหนือจากโปรเจ็กต์ ‘Alien 5’ แล้วนั้น ก็กำลังมีการพัฒนาซีรีส์ ‘Alien’ อยู่ในขณะนี้ด้วย โดยฝีมือของ โนอาห์ ฮาวลีย์ (Noah Hawley) ที่ได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากซีรีส์ ‘Fargo’ (2014-2022) โดยจะเล่าเรื่องราวบนโลกในอีกประมาณ 70 ปี ข้างหน้า รวมถึงโปรเจ็กต์ภาคต่อของ ‘Alien: Covenant’ ของ สก็อตต์ เองอีกด้วย

สนับสนุนข้อมูลโดย แนะนำหนังการ์ตูนแอนิเมชั่น

Thursday, March 10, 2022

The Batman กับการตีความใหม่ให้รัตติกาลนี้ยาวนานและมืดมิดกว่าที่เคย

การตีความใหม่กับเรื่องราวเดิมๆ ถือเป็นสิ่งที่วงการ “วรรณกรรม” ทั่วโลกต้องการ เพราะบางครั้งสิ่งที่ผู้ชมคุ้นเคย รู้จักกันดีอยู่แล้ว บางทีมันอาจจะมีแง่มุมที่น่าสนใจ รอคอยให้เราไปสำรวจตรวจตราอยู่เสมอๆ เช่นเดียวกันกับ The Batman ของผู้กำกับแมตต์ รีฟส์ ได้ปลดล็อคอะไรหลายๆอย่างในหนังซูเปอร์ฮีโร่

สไตล์การกำกับภาพยนตร์ของแมตต์ รีฟส์เอง เรียกได้ว่า ตัวเขาชอบความอ้อยอิ่งอยู่กับตัวละครในเรื่อง ทั้งที่เหตุการณ์นั้นๆสามารถรวบรัดตัดตอนให้กระชับฉับไวตามสูตรนิยมของหนังฮอลลีวูดที่เน้นความ เร็ว เร้าใจคนดูเป็นหลัก เราจะได้เห็นได้ว่าผลงานหนังรีเมกอย่าง Let me In หรือสองภาคหลังของมหากาพย์พิภพวานร Dawn of the Planet of the Apes (2014) และ War for the Planet of the Apes (2017) มีความพยายามในการนำพาผู้ชมเข้าไปอยู่ในโลกของสิ่งที่ตัวละครต้องเผชิญชะตากรรมได้อย่างละเอียดรอบด้าน จนเราเองรู้สึกเข้าอกเข้าใจหัวอกของตัวละครทั้งฝ่ายดีและร้ายไปพร้อมๆกัน

สไตล์ดังกล่าวได้รับการมาใช้อีกครั้งกับ The Batman โดยคราวนี้ ตัวละครซูเปอร์ฮีโร่อย่าง “แบทแมน” ได้รับการตีความใหม่ ผ่านตระกูลของหนังอย่างแนว “ฟิล์มนัวร์” ซึ่งสอดรับกับเหตุการณ์ในฉากหลังที่บรรดาคนใหญ่คนโตของเมืองก็อตแธมถูกฆาตกรรม โดยฆาตกรต่อเนื่องอย่าง “เดอะริดเดิ้ล” แนะนำหนังการ์ตูนแอนิเมชั่น

เมื่อเราลองวิเคราะห์ลักษณะของตัวเมืองก็อตแธมนั้น เราคงจะนึกภาพเมืองที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม มีความชั่วร้ายซุกซ่อนอยู่ทั่วทุกมุมถนน ตั้งแต่ขโมยรากหญ้าไปจนถึงเหล่านักการเมืองคอรัปชั่น ซึ่งยังไม่เคยมีแบทแมนในเวอร์ชั่นไหนที่พยายามเน้นภาพความขะมุกขะมอมเท่า The Batman ของแมตต์ รีฟส์ ซึ่งคงต้องบอกว่าความเป็น “ฟิล์มนัวร์” (Film Noir) ชัดเจนที่สุด

ความน่าสนใจประการถัดมาคือ The Batman ในฉบับนี้เขาสวมบทบาทเป็นนักสืบคดีฆาตกรรม มากกว่าจะเล่นลิเกเป็นมนุษย์ค้างคาวที่สนุกอยู่กับบรรดาของเล่นไฮเทคในเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ที่เราเคยผ่านตากันมา ขนาดฉากโชว์รถแบทโมบิลในเวอร์ชั่นนี้ ฉากการขับรถไล่ล่า (Car Chasing) ยังให้อารมณ์ที่ดูสมจริง เป็นการไล่ล่าอันสามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง ความเร็วดูไม่ได้ผิดแผกไปจากเครื่องยนต์ในท้องถนนของโลกมนุษย์ปัจจุบันนี้นัก ยิ่งทำให้ผู้ชมเห็นว่า แบทแมนในฉบับนี้ดูใกล้เคียงความเป็นมนุษย์มากที่สุดเวอร์ชั่นหนึ่งเลยก็ว่าได้

ปฏิเสธไม่ได้เลยเช่นเดียวกันว่า The Batman ในเวอร์ชั่นนี้ ได้ทำให้ผู้ชมเห็นทิศทางใหม่ๆของการเล่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ ให้หลุดออกมาจากกรอบเดิมๆในแบบฉบับความนิยมของตลาด กลายเป็นหนังนำเสนอด้านต่างๆของตัวละคร มีความเนิบช้าอ่อยอิ่ง (และเอาใจตลาดน้อยกว่าที่เคย) หลายคนอาจจะไม่ได้ปลื้มหนังในเวอร์ชั่นนี้นักแต่เมื่อพิจารณาถึงเนื้องานการออกแบบ สไตล์ การแสดง แล้ว คงต้องบอกว่า The Batman ถือเป็นงานหนังซูเปอร์ฮีโร่ในมุมมองใหม่ๆที่เราไม่ได้เห็นบ่อยนักในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อหนังซูเปอร์ฮีโร่จำเป็นต้องเอนเตอร์เทน ป๊ะเท่งป๊ะ แบบที่ค่ายอย่างมาร์เวลขีดเส้นมาตรฐานในยุคนี้ไว้ The Batman ถือเป็นความกล้าหาญชาญชัยของตัวผู้กำกับอย่างแมตต์ รีฟส์และสตูดิโออย่างวอร์เนอร์ฯ กล้าที่จะให้คนดูได้ทดลองเสพย์อะไรใหม่ๆดูบ้าง 

Wednesday, March 9, 2022

รู้หรือไม่? I Am Legend มีฉากจบ 2 แบบที่อาจจะโยงไปสู่ภาค 2

เมื่อพูดถึงภาพยนตร์ซอมบี้ในโลกที่ล่มสลาย เชื่อว่าหลายคนต้องคิดถึงภาพยนตร์เรื่อง ‘I Am Legend’ หรือในชื่อไทยคือ ข้าคือตำนานพิฆาตมหากาฬ ที่ฉายเมื่อปี 2007 ซึ่งได้อ้างอิงเรื่องราวมาจากนิยายในชื่อเดียวกัน โดยได้นักแสดงชื่อดังอย่าง วิล สมิธ (Will Smith) มารับบทนำ กับการแบกหนังตลอดทั้งเรื่อง เพราะถ้าใครเคยดูเรื่องนี้ในภาคแรกมาแล้ว จะทราบดีว่าตัวภาพยนตร์นั้นแทบจะไม่มีตัวละครอื่นเลย มีเพียง โรเบิร์ต เนวิลล์ (Robert Neville) นักวิทยาศาสตร์ที่พยายามค้นหาวิธีรักษาผู้ติดเชื้อในเมือง New York เพียงคนเดียว กับน้องหมาอีกหนึ่งตัว ท่ามกลางเหล่าผู้ติดเชื้อซอมบี้แต่แพ้แสงแดดในชื่อ ‘Darkseeker’ อยู่ทั่วเมือง ซึ่งใครที่เคยดูเรื่องนี้จนจบมาแล้ว จะทราบดีว่าเรื่องราวในภาพยนตร์นั้นจบลงแบบสมบูรณ์ ที่เป็นปลายเปิดถึงเรื่องราวที่ให้คนดูคิดต่อเอาเองว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างไรต่อไป

ข่าวสารภาพยนตร์ รีวิวหนังดัง โดยล่าสุดทางเว็บไซต์ ‘Deadline’ ได้รายงานข่าวการประกาศสร้างภาพยนตร์ ‘I Am Legend 2’ อย่างเป็นทางการ โดยวิล สมิธจะกลับมารับหน้าที่อำนวยการสร้างและนำแสดงนำอีกครั้ง และได้ ไมเคิล บี จอร์แดน (Michael B Jordan) มาร่วมด้วย ซึ่งหลายคนที่ได้ดูภาคแรกไปแล้วคงจะสงสัยว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะในท้ายเรื่องโรเบิร์ต เนวิลล์ได้เสียชีวิตไปแล้ว และจะสร้างภาค 2 ที่มีตัวละครนี้ขึ้นมาได้อย่างไร จะเป็นการย้อนเรื่องราวเป็นช่วงก่อนจะเกิดเหตุการณ์ หรือตัวของเนวิลล์ยังไม่เสียชีวิต (แต่โดนระเบิดขนาดนั้นยังไงก็ไม่น่ารอดไปได้) แต่สำหรับคนที่เคยศึกษาเรื่องราวของ ‘I Am Legend’ มาแล้ว จะทราบดีว่าตอนจบของเรื่องนี้มา 2 แบบที่ถูกสร้างขึ้นมาและมีให้เราได้ชมใน DVD ฉบับพิเศษในตอนนั้น

โดยฉากจบแบบแรกสำหรับคนที่จำไม่ได้ เรื่องราวใน ‘I Am Legend’ จะเล่าถึงการรักษาคนป่วยที่กลายเป็นซอมบี้ ‘Darkseeker’ ซึ่งการจะรักษาผู้ป่วยได้นั้นต้องมีตัวทดลอง  ซึ่งเนวิลล์ได้ไปจับ ‘Darkseeker’ หญิงคนหนึ่งมาทดลอง และสามารถรักษา ‘Darkseeker’ ตนนั้นหาย แต่การมาถึงของสองแม่ลูกที่ช่วยชีวิตเนวิลล์ในช่วงกลางเรื่องนั้น ได้ทิ้งร่องรอยให้เหล่า ‘Darkseeker’ สามารถมาบุกที่ซ่อนของเนวิลล์ได้ สุดท้ายเมื่อจนมุมไม่สามารถหนีได้ เนวิลล์จึงได้สละชีวิตตนเองระเบิดตัวพลีชีพพร้อมเหล่าซอมบี้ เพื่อเป็นการเปิดทางให้สองแม่ลูกที่แอบซ่อนอยู่สามารถรอดชีวิต และเอาเลือดที่มียาแก้เชื้อไวรัสไปให้กลุ่มคนที่สามารถสานต่อเรื่องราวนี้ได้ในการช่วยโลก ซึ่งเป็นตอนจบปกติที่เราหลายคนได้ชมกัน

ในส่วนฉากจบที่ 2 ที่ไม่ได้ถูกเอามาใช้นั้น จะใช้การเล่าเรื่องแบบเดียวกันกับแบบแรก ไปจนถึงช่วงท้ายที่เหล่า ‘Darkseeker’ จะพังประตูเข้ามา โดยที่เนวิลล์ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนแบบแรก แต่ก่อนที่กระจกจะแตก ‘Darkseeker’ ตนนั้นได้ใช้เลือดวาดรูปผีเสื้อที่กระจก ที่เป็นการสื่อบอกเนวิลล์ว่าเขาไม่ได้มาเพื่อฆ่าเนวิลล์แต่มาเพื่อรับตัว ‘Darkseeker’ หญิงที่เขาจับมาเท่านั้น ทางเนวิลล์ที่รู้เรื่องจึงเข็นเตียงที่มีร่าง ‘Darkseeker’ สาวคนนั้นส่งคืนไป โดยที่ ‘Darkseeker’ ตนนั้นไม่ทำร้ายเขาและหนีไปจนหมด ท่ามกลางความโล่งใจของทั้งสามคน ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินทางเพื่อเอาเลือดที่ได้ไปทำเป็นยารักษา นับเป็นฉากจบที่สมบูรณ์แบบกว่าแต่ทางผู้กำกับกลับเลือกฉากจบแบบที่เนววิล์ตาย เพราะต้องการสื่อให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดให้ได้พบกันของโชคชะตา ซึ่งสุดท้ายแล้วเนวิลล์ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับเรื่องนี้จนวาระสุดท้ายของเขา

ซึ่งถ้าเรื่องราวใน ‘I Am Legend 2’ เลือกตอนจบแบบนี้มาสานต่อ ก็จะเป็นการเล่าเรื่องราวใหม่ที่น่าสนใจได้อย่างลงตัว ซึ่งใครที่สนใจอยากรู้ว่าฉากจบทั้งสองแบบเป็นอย่างไร ก็ลองไปหาชมได้ตาม ‘YouTube’ ดูจบคุณอาจจะถามตัวเองว่าจริง ๆ แล้ว ‘I Am Legend’ ควรจะจบแบบไหนดีที่สุด


ออสการ์ 2023: “มิเชล โหย่ว” ผู้หญิงเอเชียคนแรกที่ได้รางวัลนักแสดงนำหญิง

มิเชล โหย่ว (Michelle Yeoh) สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับเวทีออสการ์ ด้วยการเป็นนักแสดงเชื้อสายเอเชียคนแรกที่ได้รางวัลนักแสดงนำหญิงบนเวที...