Friday, April 29, 2022

"จัสติน ลิน" ลาออกจากตำแหน่งผู้กำกับ FAST X หลังเพิ่งเปิดกล้องไม่กี่วัน กองถ่ายหยุดชะงัก

วิน ดีเซล นักแสดงนำและผู้อำนวยการสร้างเพิ่งสร้างกระแสฮือฮาต่อแฟน ๆ เมื่อไม่กี่วันนี้ ด้วยการปล่อยภาพโลโก้ FAST X ภาคสุดท้ายปิดตำนานแฟรนไชส์บันลือโลก พร้อมทั้งประกาศกำหนดฉายไว้ว่าเป็น 19 พฤษภาคม 2023 แต่มาวันนี้ โปรเจกต์เริ่มส่อเค้าไม่ดีเสียแล้ว เมื่อจัสติน ลิน ผู้กำกับที่เรียกได้ว่ามีบทบาทมากที่สุดต่อแฟรนไชส์นี้ เพราะเขาคือผู้ที่ดึงแฟรนไชส์จากจุดต่ำสุดใน FAST 3 ให้พลิกกลับมาเป็นแฟรนไชส์ที่ทำรายได้ถล่มทลายแตะหลักพันล้านใน FAST 5 และ FAST 6 แล้วจากนั้นแฟรนไชส์ก็ได้รับความนิยมมากที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกภาพยนตร์ เปลี่ยนแนวจากหนังแข่งรถเป็นหนังจารกรรมบ้าระห่ำ ที่มีแฟน ๆ ทั่วโลกคอยติดตามไม่ว่าใครจะนั่งเก้าอี้ผู้กำกับก็ตาม แต่แฟน ๆ ต่างก็ดีใจเมื่อจัสติน ลิน กลับมารับหน้าที่ผู้กำกับในแฟรนไชส์ที่เขาเป็นผู้ปลุกปั้นมาใน FAST 9 และต่อเนื่องมาถึง FAST 10 เพราะเขาคือบุคคลที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำหน้าที่ปิดตำนาน FAST

แต่ทิศทางของแฟรนไชส์กลับไม่เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว เมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ จัสติน ลิน แถลงการณ์ผ่านทวิตเตอร์ของ THE FAST SAGA อย่างเป็นทางการว่าเขาได้ลาออกจากตำแหน่งผู้กำกับ FAST X เรียบร้อยแล้ว มีเนื้อหาดังนี้

“ด้วยความสนับสนุนอย่างดีตลอดมาจากทางยูนิเวอร์แซล ทำให้ผมลำบากใจเหลือเกินที่ต้องจำใจยุติดบทบาทในฐานะผู้กำกับของหนัง FAST X แต่ผมยังคงทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างต่อไป ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา กับหนัง 5 ภาคของผมนั้น เราต่างก็ได้เห็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม ฉากสตันท์สุดระทึก และฉากขับรถไล่ล่าที่ดีที่สุด โดยส่วนตัวผมนั้น ในฐานะที่เป็นคนเชื้อสายเอเชียน กับการได้เข้ามามีส่วนผลักดันแฟรนไชส์ที่ทรงพลังที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์นั้นทำให้ผมภูมิใจอย่างยิ่ง ผมจะระลึกถึงคุณงามความดีของเหล่านักแสดงที่ยอดเยี่ยม ทีมงานและสตูดิโอที่คอยสนับสนุนผมอย่างดีตลอดมา และขอบคุณที่อ้าแขนต้อนรับผมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว FAST แห่งนี้”

หลังข่าวนี้ออกมาแฟน ๆ ก็คาดเดากันไปมากมายว่า ใครจะเป็นผู้กำกับที่มาแทนลิน, พี่ใหญ่ วิน ดีเซล ในฐานะหัวเรือของแฟรนไชส์ อาจจะไปดึง เจมส์ วาน ที่เคยกำกับในภาค 7 ให้กลับมารับหน้าที่เร่งด่วน เพราะตอนนี้หนัง Aquaman and the Lost Kingdom ก็ถ่ายทำเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอน Post Production หรือไม่แน่ วิน ดีเซล อาจจะนั่งเก้าอี้ผู้กำกับเองไปเลย เพราะที่ผ่านมาก็มีเสียงลือหนาหูว่าดีเซลมีบทบาทหลังกล้องอย่างมาก เคยเป็นชนวนเหตุให้ผิดใจ ดเวย์น จอห์นสัน จนโบกมือลาแฟรนไชส์มาแล้ว แล้วก็อาจจะเป็นสาเหตุให้จัสติน ลินลาออกไปในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน แต่ที่แน่ ๆ กำหนดฉายเดิมที่วางไว้ว่าเป็น พฤษภาคม 2023 ก็น่าจะต้องเลื่อนออกไปแล้วล่ะ

สนับสนุนข้อมูลโดย แนะนำหนังการ์ตูนแอนิเมชั่น

Thursday, April 28, 2022

สุดเซอร์ไพรส์ The Bad Guys เปิดตัวอันดับ 1 ในสหรัฐฯ

สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากเมื่อแอนิเมชันม้ามืด The Bad Guys จากค่าย DreamWorks Animation สามารถเปิดตัวขึ้นอันดับที่ 1 บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศสหรัฐฯโดยกวาดรายได้ไปถึง 24 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 815 ล้านบาท เบียดเอา ‘Sonic the Hedgehog 2’ และ ‘Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore’ ตกไปอยู่อันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับ ส่วนรายได้ทั่วโลกนั้นอยู่ที่ 87.1 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 2,960 ล้านบาท จากทุนสร้าง 80 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 2,720 ล้านบาท

‘The Bad Guys’ ได้กลายเป็นแอนิเมชันของ DreamWorks เรื่องล่าสุดที่สร้างเซอร์ไพรส์ได้อย่างน่าชื่นชม และมีความเป็นไปได้สูงที่จะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับ ‘Sing 2’ (2021) ที่เปิดตัวด้วยรายได้ 22 ล้านเหรียญ และท้ายที่สุดก็สามารถกวาดรายได้ทั่วโลกไป 404.2 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 13,740 ล้านบาท

ในตอนนี้ ‘The Bad Guys’ ได้รับคะแนนวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ไปได้ในระดับสดใหม่ที่ 85% และได้คะแนนจาก CinemaScore ไปในระดับ -A ซึ่งถือได้ว่าเป็นคำวิจารณ์ในระดับที่ดีมากอย่างเหนือความคาดหมาย ทั้งที่ตัวแอนิเมชันแทบจะไม่ได้รับการโปรโมตในวงกว้างแต่อย่างใด

สนับสนุนข้อมูลโดย ข่าวสารภาพยนตร์ รีวิวหนังดัง


Wednesday, April 27, 2022

มาแล้วจ้า Netflix คว้า One for the Road และ 4 Kings ลงจอสตรีมมิ่ง พฤษภาคมนี้

งานนี้ Netflix เอาใจคอหนังไทยต่อเนื่อง ประกาศวันสตรีมภาพยนตร์ไทยกระแสดี One for the Road วันสุดท้าย…ก่อนบายเธอ และ 4 Kings ให้ผู้ชมชาวไทยได้รับชมพร้อมกันในเดือนพฤษภาคมนี้สำหรับคอหนังดราม่าและมิตรภาพ 

เตรียมอินไปกับภาพยนตร์ 4 Kings ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของนักเรียนอาชีวะในยุค 90 ความขัดแย้งของนักเรียนช่างจาก 4 สถาบัน ที่นำไปสู่บทเรียนชีวิตที่พวกเขาได้พบ โดยตัวภาพยนตร์ยังผสมผสานไปด้วยเศษเสี้ยวประสบการณ์ตรงส่วนหนึ่งของผู้กำกับพุฒิพงษ์ นาคทอง โดยมีเป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ, จ๋าย-อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี, ภูมิ รังษีธนานนท์, โจ๊ก-อัครินทร์ อัครนิธิเมธรัฐ, ทู-สิราษฎร์ อินทรโชติ, ณัฏฐ์ กิจจริต, แหลม-สมพล รุ่งพาณิชย์ และบิ๊ก-อุกฤษ วิลลีย์ บรอด ดอนกาเบรียล (D Gerrard) นำทีมถ่ายทอดเรื่องราว ภาพยนตร์ 4 Kings จะลงจอให้รับชมบน Netflix ในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้

สนับสนุนข้อมูลโดย ข่าวเมืองไทย

Tuesday, April 26, 2022

"จอห์นนี เดปป์" ปฏิเสธจะกลับไปรับบทนำใน Pirates of The Caribbean 6

กลายเป็นประเด็นทั่วโลกให้ความสนใจ ล่าสุด เว็บไซต์ Variety ได้รายงานว่า ในระหว่างที่ขึ้นในการพิจารณาคดีที่ จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) ได้ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทต่อ แอมเบอร์ เฮิร์ด (Amber Heard) อดีดภรรยาของเขา เป็นมูลค่า 50 ล้านเหรียญ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2021 ที่ผ่านมานั้น เดปป์ได้ตอบคำถามของ เบน รอทเทนบอร์น (Ben Rottenborn) ทหายของเฮิร์ดที่ว่า เขาจะกลับไปรับบทนำใน ‘Pirates of the Caribbean’ หรือไม่

รอทเทนบอร์น : “เป็นความจริงหรือไม่ คุณเดปป์ แม้ Disney มาหาคุณพร้อมกับข้อเสนอ 300 ล้านเหรียญ และอัลปากา 1 ล้านตัว ก็จะไม่มีอะไรบนโลกที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจกลับไปร่วมงานกับ Disney ในภาพยนตร์ ‘Pirates of the Caribbean’ ได้? ถูกต้องหรือไม่ครับ?”

เดปป์ : “เป็นความจริงครับ คุณรอทเทนบอร์น”

การฟ้องร้องนี้เกิดขึ้นจากการที่เฮิร์ดได้กล่าวกับหนังสือพิมพ์ Washington Post เมื่อปี 2018 ว่าเธอตกเป็นเหยื่อในการล่วงละเมิดและถูกทำร้ายร่างกาย และถึงแม้ว่าจะไม่บอกชื่อของเดปป์ไปตรง ๆ แต่ก็ทำให้เดปป์ต้องประสบปัญหามากมาย ซึ่งเดปป์ได้กล่าวอ้างว่ากากระทำของเฮิร์ดนั้นเป็นการทำลายอาชีพ, ชื่อเสียง และชีวิตของเขา

ประเด็นปัญหานี้ได้ส่งผลทำให้เดปป์ถูกแบนจากสตูดิโอใหญ่มากมาย รวมถึง Warner Bros. ที่ถอดเขาออกจาก ‘Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore’ ทั้งที่เริ่มถ่ายทำวันแรกไปแล้ว รวมถึง Disney ได้ถอดเขาออกจากบทนำในโปรเจ็กต์ ‘Pirates of The Caribbean 6’ ด้วย เนื่องจากสตูดิโอกลัวว่าชื่อเสียงในด้านลบของเดปป์ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแฟรนไชส์ที่เป็นภาพยนตร์แนวครอบครัว

เป็นที่ทราบกันดีว่าผู้ชมในยุคหลังนั้นจดจำเดปป์ได้จากการรับบท Jack Sparrow ใน ‘Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl’ (2003) ได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำและออสการ์ ซึ่งส่งผลทำให้ Disney รีบเข็นภาพยนตร์อีกหลายเรื่องในแฟรนไชส์ ‘Pirates of the Caribbean’ ออกมา ซึ่งเดปป์ก็ยังคงรับบท Jack Sparrow ในทุกเรื่อง

ในตอนนี้ Disney ได้ถูกแฟน ๆ กดดันอย่างหนักให้ทาบทามเดปป์กลับมาร่วมแสดงใน ‘Pirates of The Caribbean 6’ แม้จะในบทเล็ก ๆ ก็ตาม แต่จากคำกล่าวที่หนักแน่นของเดปป์นั้นก็ยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่าเขาจะไม่กลับมาร่วมแสดงในแฟรนไชส์นี้อย่างแน่นอน จึงทำน่าสนใจว่า Disney จะปรับทิศทางของแฟรนไชส์นี้ไปในทิศทางใด

สนับสนุนข้อมูลโดย หนังซับไทย

Monday, April 25, 2022

ยูตะ NCT เตรียมเดบิวต์จอเงินด้วยหนังญี่ปุ่นฟอร์มยักษ์ HiGH&LOW THE WORST X

นากาโมโตะ ยูตะ สมาชิกชาวญี่ปุ่นของบอยแบนด์เค-ป็อป NCT เตรียมเดบิวต์บนจอเงินใน HiGH&LOW THE WORST X ภาคล่าสุดของภาพยนตร์แฟรนไชส์แอ็กชั่นฟอร์มยักษ์ HiGH&LOW โดยมีกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ของประเทศญี่ปุ่น 9 กันยายนนี้

ในภาพยนตร์เรื่อง HiGH&LOW THE WORST X ยูตะ รับบทเป็น ซูซากิ เรียว หนึ่งในตัวละครใหม่ของแฟรนไชส์ HiGH&LOW ซึ่งเข้ามามีบทบาทในฐานะชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งแห่งโรงเรียนมัธยมอาชีวะเซโนมง สถาบันที่สวมใส่ชุดยูนิฟอร์มสีแดงเข้ม และได้รับการขนานนามว่า “ประตูแห่งโลหิต” ตัวแปรสำคัญในการขยายอำนาจของพันธมิตรสามโรงเรียนที่ก่อตั้งด้วยเป้าหมายเดียวกันคือการโค่นล้มโรงเรียนมัธยมปลายโอยะ ซึ่งมี ฮานาโอกะ ฟูจิโอะ เป็นผู้นำ ซึ่งสวมบทบาทนี้โดย​ คาวามูระ คาซึมะ จาก THE RAMPAGE

นากาโมโตะ ยูตะ เปิดเผยความรู้สึกที่เขาได้ร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่อง HiGH&LOW THE WORST X ว่า “อย่างแรกเลยคือผมรู้สึกดีใจมาก ๆ ตอนที่ได้พูดคุยเกี่ยวกับงานชิ้นนี้ครับ ผมรู้จัก HiGH&LOW อยู่แล้ว และผมเองก็หลงใหลในการต่อสู้ตามประสาลูกผู้ชาย เลยอยากจะท้าทายตัวเองด้วยผลงานนี้ครับ แต่เพราะนี่เป็นทั้งผลงานการแสดงครั้งแรกและยังเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นด้วย​ เลยอดที่จะกังวลไม่ได้ โชคดีที่ทั้งเพื่อนนักแสดงและผู้กำกับให้คำแนะนำอย่างใจดีแก่ผม​ ทำให้ผมได้เรียนรู้ ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นการถ่ายทำที่สนุกมาก ๆ ด้วย อยากให้ทุกคนมาดูกันนะครับ”

สนับสนุนข้อมูลโดย รีวิวหนังใหม่ หนังชนโรง

Sunday, April 24, 2022

เบน แอฟเฟล็ค กำกับฯ หนังกำเนิดรองเท้า Nike คว้าตัวเพื่อนรัก แมตต์ เดมอน นำแสดง อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://news.nangdee.com/viewtopic.php?nid=25211

เบน แอฟเฟล็ค (Ben Affleck) หวนแท็กทีมคู่ แมตต์ เดมอน (Matt Damon) ร่วมโปรเจกต์สร้างภาพยนตร์ดราม่าเล่าเรื่องราวต้นกำเนิดของ Nike แบรนด์รองเท้าดังที่ทั่วโลกรู้จักกันดี โดย แอฟเฟล็ค จะรับหน้าที่เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ร่วมสร้างโดย Amazon Studios, Skydance Sports และ Mandalay Pictures เขียนบทฯ โดย อเล็กซ์ คอนเวอรี่ (Alex Convery) เบื้องต้นตัวบทฯ ใช้ชื่อว่า Air Jordan 

ภาพยนตร์จะเล่าเรื่องราวสุดอัศจรรย์ใจของ ซอนนี่ แวคคาโร (Sonny Vaccaro) รับบทโดย เดมอน นักขายรองเท้าหนุ่ม ที่เปิดบริษัทขายรองเท้าชื่อว่า Nike เพื่อนักกีฬาที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของวงการกีฬามากที่สุด นั่นก็คือ ไมเคิล จอร์แดน (Michael Jordan) โดย แอฟเฟล็ค จะรับบทเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Nike ชื่อว่า ฟิล ไนท์ (Phil Knight)

สนับสนุนข้อมูลโดย แนะนำหนังการ์ตูนแอนิเมชั่น

Friday, April 22, 2022

Fantastic Beasts:The Secrets of Dumbledore เปิดตัวด้วยรายได้น้อยที่สุดในแฟรนไชส์ Harry Potter

The Hollywood Reporter ได้รายงานว่า ‘Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore’ ทำรายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกในสหรัฐฯ ไป 43 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 1,450 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์แรกที่น้อยที่สุดในแฟรนไชส์ Harry Potter

แต่ถึงกระนั้น ‘Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore’ ก็ทำรายได้เปิดตัวได้ดีที่สุดลำดับที่ 4 ในปี 2022 นี้ ตามหลัง ‘The Batman’, ‘Sonic the Hedgehog 2’, และ ‘Uncharted’ ที่ทำไว้ 134 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 4,500 ล้านบาท, 72 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 2,400 ล้านบาท และ 44 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 1,480 ล้านบาท ตามลำดับ

ในส่วนรายได้ทั่วโลกนั้นอยู่ที่ 193.4 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 6,500 ล้านบาท จากทุนสร้างประมาณ 200 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 6,700 ล้านบาท สำหรับภาพยนตร์ในแฟรนไชส์ ‘Harry Potter’ ที่ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดคือ ‘Harry Potter and the Deathly Hallows Part II’ (2011) ที่ทำไป 169.2 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 5,700 ล้านบาท

‘Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore’ เป็นภาพยนตร์ภาคที่ส 3 ในชุดของ ‘Fantastic beasts’ ที่ถูกวางเอาไว้ทั้งสิ้น 5 ภาค และเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 11 ในแฟรนไชส์โลกพ่อมด ‘Harry Potter’ ว่าด้วยเรื่องราวการผจญภัยของ Newt Scamander (รับบทโดย เอดดี เรดเมน) นักสัตว์วิเศษวิทยาที่เข้ามามีส่วนร่วมเป็นแนวต้านพ่อมดศาสตร์มืดผู้ชั่วร้ายอย่าง Gellert Grindelwald (รับบทโดย แมดส์ มิคเคลสัน) โดยมี Albus Dumbledore ในวัยหนุ่ม (รับบทโดย จู๊ด ลอว์) ที่กุมความลับสำคัญ และเป็นพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับศึกครั้งนี้

สนับสนุนข้อมูลโดย ข่าวสารภัยพิบัติธรรมชาติทั่วโลก วาตภัย อุทกภัย 

Thursday, April 21, 2022

เด็กสาวในชุดแดงจาก Schindler's List กลายเป็นอาสาสมัครช่วยผู้อพยพจากยูเครน

ภาพยนตร์ที่เคยโด่งดังมากในอดีต Schindler’s List หนังที่สะท้อนความโหดร้ายของสงครามและความหดหู่ที่มนุษย์กระทำต่อกันเอง แต่นอกเหนือจากความสิ้นหวังที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านภาพขาวดำแล้ว กลับมีหนึ่งภาพที่เชื่อว่าไม่ว่าใครก็จดจำได้ไม่ลืม แม้แต่คนที่ไม่เคยดูหนังมาก่อนก็อาจเคยเห็น “เด็กสาวในชุดแดง” ผ่านหูผ่านตามาบ้างไม่มากก็น้อย สีแดงของเสื้อโค้ทของเธอโดดเด่นออกมาจากภาพจนกลายเป็นที่จดจำของใครหลายคนและฉากนี้ก็ถูกยกย่องว่าเป็น “สัญลักษณ์ของความหวัง”


เด็กสาวในชุดโค้ทแดงก็คือโอลิเวีย ดาบรอวสกา (Oliwia Dabrowska) ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 3 ขวบ เธอเปรียบเหมือนกับสัญลักษณ์ของหนังคลาสสิกของสตีเวน สปิลเบิร์ก (Steven Spielberg) เรื่องนี้ ฉากของเด็กสาวที่เดินผ่านสลัมคราคูฟโดยไม่ถูกใครแตะต้องเป็นการสื่อถึงความรุนแรงและความเห็นอกเห็นใจ ความรู้สึกผิดและความไร้เดียงสา รวมถึงความสิ้นหวังและความหวัง

เด็กสาวที่ในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของหนังขึ้นหิ้งเรื่องนี้ได้เติบโตขึ้น ปัจจุบันเธออายุ 32 ปี อาศัยอยู่ในโปแลนด์ และกลายเป็นอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือชาวยูเครนที่อพยพออกจากประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามรัสเซียยูเครน

ดาบรอวสกายังคงเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้อพยพชาวยูเครน และเธอยังช่วยจัดหาชุดปฐมพยาบาลให้กับทหารยูเครน จัดตั้งระบบระเบียบการรับบริจาคเงินและข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือผู้อพยพทั้งในชีวิตจริงและผ่านโลกออนไลน์ด้วย

เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปีของ ‘Schindler’s List’ เมื่อปี 2018 สปิลเบิร์กเคยกล่าวไว้ว่า เขามองว่าฉากเด็กสาวในชุดแดงเป็นการเรียกร้องให้ต่อต้านความรุนแรงและความโหดร้ายที่กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างกับสิ่งที่ดาบรอวสกากำลังทำอยู่ในตอนนี้ เธอได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังท่ามกลางสงครามและความขัดแย้งอีกครั้ง

ติดตามอัพเดททุกข่าวสารภาพยนตร์ก่อนใคร ดูที่นี่คลิ๊ก

Wednesday, April 20, 2022

โรเบิร์ต แพตทินสัน เตรียมพา THE BATMAN ลงสตรีมมิ่ง HBO GO

ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ของ Warner Bros. Pictures เรื่อง The Batman (เดอะ แบทแมน) จากผู้กำกับ แมตต์ รีฟส์ นำแสดงโดย โรเบิร์ต แพตทินสัน ในบทบาทนักสืบศาลเตี้ยแห่งเมืองก็อตแธม และอีกหนึ่งตัวตนของเขาก็คือ บรูซ เวย์น เศรษฐีผู้สันโดษ รับชมก่อนใครในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน นี้ ทาง HBO GO

ช่วงเวลาสองปีแห่งการปรากฏตัวในฐานะ เดอะ แบทแมน (รับบทโดย โรเบิร์ต แพตทินสัน) และสร้างความหวาดกลัวในใจเหล่าอาชญากร ได้นำบรูซ เวย์น เข้าสู่เงามืดของเมืองก็อตแธม ท่ามกลางกลุ่มข้าราชการและผู้มีอำนาจที่ฉ้อฉลในเมือง เขามีพันธมิตรที่ไว้ใจได้เพียงไม่กี่คน ซึ่งในจำนวนนั้นคือ อัลเฟรด เพนนีเวิร์ท (รับบทโดย แอนดี้ เซอร์คิส) และ ผู้หมวดเจมส์ กอร์ดอน (รับบทโดย เจฟฟรีย์ ไรท์) และเขาจะต้องออกโรงแก้แค้นเพียงลำพังท่ามกลางประชาชนที่อยู่เคียงข้างเขา

เมื่อฆาตกรเล็งเป้าการฆาตกรรมต่อเนื่องอันโหดเหี้ยมไปที่บุคคลระดับสูงของเมืองก็อตแธม เบาะแสปริศนาทำให้สุดยอดนักสืบของโลกต้องบุกเข้าไปตามรอยในโลกใต้ดินของเหล่าอาชญากร และพบกับ เซลีน่า ไคลย์ หรือ แคทวูแมน (รับบทโดย โซอี้ คราวิตซ์), ออสวัลด์ คอบเบิลพอต หรือ เดอะ เพนกวิน (รับบทโดย โคลิน ฟาร์เรลล์), คาร์ไมน์ ฟอลคอน (รับบทโดย จอห์น เทอร์ทูร์โร) และ เอ็ดเวิร์ด แนชตัน หรือ เดอะ ริดเลอร์ (รับบทโดย พอล ดาโน) เมื่อหลักฐานเริ่มสาวไปถึงต้นตอและแผนการของวายร้ายปรากฏชัด แบทแมนจำต้องสานสัมพันธ์ครั้งใหม่พร้อมกับกระชากหน้ากากผู้กระทำผิด และนำความยุติธรรมกลับมาสู่เมืองก็อตแธมที่ถูกความฉ้อฉลกัดกินมาอย่างยาวนานให้ได้

สนับสนุนข้อมุลโดย ข่าวสาร UFO เรื่องลี้ลับและสายมูเตลู

Tuesday, April 19, 2022

"บรี ลาร์สัน" จะร่วมแสดงใน Fast & Furious 10

The Hollywood Reporter ได้รายงานว่า วิน ดีเซล (Vin Diesel) นักแสดง/ผู้อำนวยการสร้างในแฟรนไชส์ ‘Fast & Furious’ ได้โพสต์อินสตาแกรมต้อนรับ บรี ลาร์สัน (ฺBrie Larson) นักแสดงสาวรางวัลออสการ์ มาเป็นสมาชิกคนล่าสุดในครอบครัว ‘Fast & Furious’ อย่างเป็นทางการ ซึ่งเธอจะรับบทตัวละครสำคัญใน ‘Fast & Furious 10’

ดีเซลได้โพสต์แคปชั่นว่า “ใช่แล้ว… คุณเห็นนางฟ้าคนนี้ที่วางมือบนไหล่ผมคนนี้แล้ว และรู้ว่าเธอคือ Captain Marvel แต่สิ่งที่คุณยังไม่รู้คือเธอได้รับบทใดใน Fast 10 ซึ่งจากความสามารถและความงดงามของเธอนั้นทำให้ผมเชื่อเลยว่าจะเธอจะต้องสร้างสิ่งที่เหนือความคาดหมายของคุณไปอีก”

ลาร์สันเป็นนักแสดงสาวฝีมือดีที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก ‘Room’ (2016) และรางวัลเอมมีจากมินิซีรีส์ ‘The Messy Truth in VR’ (2019) รวมถึงบทนำในภาพยนตร์ฟอร์มดีมากมาย เช่น ‘Trainwreck’ (2015), ‘Free Fire’ (2016), ‘Kong: Skull Island’ (2017) และ ‘The Glass Castle’ (2017) จากนั้นเธอได้กลายเป็นที่รู้จักทั่วโลกจากการรับบท Carol Danvers ใน ‘Captain Marvel’ (2019) และ ‘Avengers: Endgame’ (2019)

ก่อนหน้านี้ The Hollywood Reporter ก็ได้รายงานว่า เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) ผู้รับบท Aquaman ในแฟรนไชส์ DC Extended Universe จะมาร่วมแสดงใน ‘Fast & Furious 10’ ด้วย โดย จัสติน ลิน (Justin Lin) ยังคงรับหน้าที่กำกับเช่นเดิม

สำหรับนักแสดงคนอื่น ๆ ในแฟรนไชส์ที่จะยังคงกลับมาร่วมทีมภาคที่ 10 นี้ก็ยังมีทั้ง มิเชลล์ รอดรีเกซ (Michelle Rodriguez), ไทรีส กิบสัน (Tyrese Gibson), คริส ลูดาคริส (Chris “Ludacris” Bridges), ซอง คัง (Sung Kang) และ ชาร์ลีซ เทรัน (Charlize Theron) โดย ‘Fast & Furious 10’ มีกำหนดฉายในวันที่ 19 พฤษภาคม 2023

สนับสนุนข้อมูลโดย ข่าวสารภาพยนตร์ รีวิวหนังดัง

Monday, April 18, 2022

วิลล์ สมิธ โดนแบนจาก Oscars ไม่สามารถร่วมได้อีก 10 ปี

จากเหตุการณ์ที่เป็นที่พูดถึงกันทั่วโลกที่ วิลล์ สมิธ (Will Smith) นักแสดงนำยอดเยี่ยมจากเรื่อง ‘King Richard’ ได้ลุกขึ้นไปตบ คริส ร็อก (Chris Rock) พิธีกรบนเวทีออสการ์ครั้งที่ 94 เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา วันนี้ทางสถาบัน Academy of Motion Picture Arts and Sciences ได้ตัดสินบทลงโทษแล้ว ที่จะแบนสมิธจากการร่วมงานไปอีก 10 ปี

คณะกรรมการของสถาบัน Academy of Motion Picture Arts and Sciences ได้ระบุว่า ในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า สมิธจะไม่สามารถร่วมงาน Academy Award รวมถึงงานอื่น ๆ ที่จัดโดย Academy ทั้งแบบออฟไลน์หรือออนไลน์ได้

ภายหลังสมิธได้ออกมาตอบรับการตัดสินดังกล่าวว่า เขายอมรับและเคารพการตัดสินของ Academy การตัดสินในครั้งนี้เกิดขึ้นในวันนี้ หลังจากสมิธได้ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกของ Academy เมื่อสัปดาห์ก่อน แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าสมิธจะยังสามารถถูกเสนอชื่อและรับรางวัลในอนาคตได้ เนื่องจากการตัดสินในครั้งนี้ไม่ได้ระบุเกี่ยวกับสิทธิ์ในการรับรางวัลแต่อย่างใด

สนับสนุนข้อมูลโดย หนังซับไทย


Sunday, April 17, 2022

"ไมเคิล เบย์" เผย "สตีเวน สปีลเบิร์ก" เคยขอให้เขาหยุดทำ Transformers ได้แล้ว

ไมเคิล เบย์ (Michael Bay) ผู้กำกับชื่อดังเผยว่าการตะบี้ตะบันทำหนัง ‘Transformers’ ของเขา เคยถูกผู้อำนวยการสร้างอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) บ่นว่าควรหยุดสร้างตั้งแต่ภาค 3 แล้ว ขณะให้สัมภาษณ์กับสื่อเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาอย่าง ‘Ambulance’ เบย์ได้เล่าว่า สปีลเบิร์กเคยแนะนำให้เขาถอยออกจากแฟรนไชส์ ​​Transformers หลังจากจบไตรภาคแรก แต่เขาปฏิเสธเพราะทางค่ายยังอยากให้ทำต่อไป

“ผมทำมันมากเกินไปแหละ ขนาดสตีเวน สปีลเบิร์กยังบอกเลยว่า ‘หยุดแค่ 3 ภาคพอนะ’ แล้วผมก็เคยบอกว่าจะหยุดนะ แต่สตูดิโอขอร้องให้ผมทำภาค 4 ต่อ ซึ่งมันก็ทำเงินได้หลักพันล้านด้วย ต่อมาผมก็บอกว่าจะหยุดอีก แล้วพวกเขาก็ขอร้องผมอีกครั้ง จริง ๆ ผมก็ควรจะหยุดได้แล้วแหละ แต่ทางค่ายก็ดูกำลังสนุกที่จะได้ทำหนังแบบนี้”

เบย์เล่าต่อว่าตอนที่ทำ ‘Transformers’ ภาคแรกในปี 2007 ซึ่งนำแสดงโดยไชอา เลอบัฟ (Shia LaBeouf)กับเมแกน ฟอกซ์ (Megan Fox)ตอนนั้นเขาต้องทำไปลุ้นไป เพราะกลัวว่าอะไรแบบนี้มันจะไม่เวิร์ก

“มันเป็นเทคโนโลยีที่เราไม่รู้ว่าจะเวิร์กไหม แต่หลังจากนั้นมันก็ประสบความสำเร็จอย่างมากเลย นั่นเป็นครั้งแรกที่เราหันมาใช้เอฟเฟกต์ใหม่ ๆ และมันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ ๆ อีกด้วย มันเป็นประสบการณ์ที่สนุก และตัวหนังทำเงินได้มากกว่า 709 ล้านเหรียญ ซึ่งตัวเลขก็มาจากคนเข้าโรงซื้อตั๋วไปชมจริง ๆ”

เมื่อถูกถามว่าระยะหลังเขาหันมาสร้างหนังที่ใช้ทุนน้อยลง และไม่ได้มีสเกลใหญ่เหมือนกับที่เคยมา ซึ่งเบย์ตอบว่าไม่ว่าจะหนังเล็กหรือใหญ่ เขาก็รักหนังทุกเรื่องของตัวเอง

“ผมหลงใหลหนังทุกเรื่องที่ผมเคยทำนะ ตั้งแต่ ‘Pain & Gain’ ไปจนถึง ’13 Hours’ ผมชอบที่จะเปลี่ยนจากการทำหนังใหญ่ ๆ ไปหาเล็ก ๆ คนเราต้องก้าวออกจากอะไรเดิม ๆ บ้าง”

เบย์ วัย 57 ปี ถือเป็นผู้ปลุกปั่นแฟรนไชส์ Transformers ขึ้นมาเองกับมือ เขากำกับหนังในแฟรนไชส์นี้ทั้งหมด 5 ภาคไล่ตั้งแต่ ‘Transformers’ (2007), ‘Transformers: Revenge of the Fallen’ (2009), ‘Transformers: Dark of the Moon’ (2011), ‘Transformers: Age of Extinction’, และ ‘Transformers: The Last Knight’

ซึ่งหลังจากภาคล่าสุดเบย์ก็ได้ย้ายมารับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง เริ่มตั้งแต่เรื่อง ‘Bumblebee’ เมื่อปี 2018 และหนังเรื่องล่าสุดของ Transformers ที่กำลังมีคิวเข้าฉายปี 2023 อย่าง ‘Rise of the Beasts’ ด้านสปีลเบิร์กเอง ก็ยังคงรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างแฟรนไชส์ Transformers มาตั้งแต่ปี 2007 จนถึงปัจจุบัน

สนับสนุนข้อมูลโดย รีวิวซีรี่ย์ใหม่ แนะนำซีรี่ย์ NETFLIX

Saturday, April 16, 2022

รีวิว GDH ประกาศเลื่อนฉาย "บุพเพสันนิวาส 2" ไม่มีกำหนด

GDH ประกาศเลื่อนฉายภาพยนตร์ บุพเพสันนิวาส 2 นำแสดงโดย โป๊ป ธนวรรธน์ และ เบลล่า ราณี โดยผู้กำกับ ปิ๊ง อดิศรณ์ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้กระทบการถ่ายทำ

โดยก่อนหน้านี้ได้ประกาศฉายเป็นวันที่ 4 พฤษภาคม 2565 ล่าสุดทาง GDH ได้ประกาศเลื่อนฉายภาพยนตร์ บุพเพสันนิวาส 2 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด ระบุความมาในรูปแบบบทกลอนยาวความว่า... บุพเพสันนิวาสหนาแม้วันฉายจักคลาดคลาแต่ขอมั่นสัญญาว่าจักกลับมาให้คุ้มค่าการรอคอย 


"ถึงออเจ้า ผู้เฝ้ารอ


ด้วยเหตุที่เกิดไข้โควิดระบาดเข้ามาทางประเทศสยาม

จนพลเมืองจับไข้กันเรือนหมื่น เรือนแสน

นับรวมถึงผู้กำกับภาพยนตร์ นักแสดง และทีมงานอีกหลายท่าน

ที่จับไข้โควิดจนต้องกักตัวอยู่ที่เรือน

ส่งผลให้งานในส่วนโพสต์โพรดักชั่นของภาพยนตร์

ล่าช้า ไม่เป็นไปตามกำหนด


เพื่อความสมบูรณ์แบบของภาพยนตร์

และการรับชมที่ได้อรรถรสสูงสุดของผู้ชมชาวสยาม

จีดีเอช และบรอดคาซท์ ไทยเทเลวิชั่น จำ

ต้องเปลี่ยนแปลงกำหนดฉายภาพยนตร์

จากวันที่ 4 พฤษภาคม ออกไป

และจะประกาศกำหนดฉายใหม่ให้ทราบโดยเร็ววัน


จึงเรียนมาเพื่อให้ออเจ้าทราบ

ขออภัยที่ไม่อาจมาเจอออเจ้า

ได้เร็วอย่างใจต้องการ


จากทีมผู้สร้างภาพยนตร์"


สนับสนุนข้อมูลโดย แนะนำซีรี่ย์เกาหลี


Monday, April 11, 2022

Morbius เพื่อนรัก หักเหลี่ยม ไม่โหดแต่เชย

สิ่งที่ทำให้หนังอย่าง Morbius น่าผิดหวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือวิธีการนำเสนอตัวละครนี้ ค่อนข้างเชย ดูเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่สมัย 2000 ต้นๆ ที่นอกจากจะไม่มีอะไรให้เซอร์ไพรส์แล้ว ยังเอื่อยเฉื่อยกว่าที่คิด

ใช่ว่าหนังอย่าง Morbius จะไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลย เราคงต้องบอกว่าการแสดงของจาเร็ด เลโต้ในบทบาทไมเคิล มอร์เบียส เรียกได้ว่าเขาทุ่มเทให้กับตัวละครนี้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ตัวเองดูโทรม ซูบซีดราวกับคนป่วยที่มีอาการเกี่ยวกับโรคเลือด แต่เมื่อเขาต้องขุนหุ่นให้ล่ำตอนกลายร่างก็ไม่มีอะไรที่น่าผิดหวัง

น่าเสียดายที่บทภาพยนตร์ในการบอกเล่าความเป็นมาของตัวละคร Morbius นั้นถือว่าเป็นการเล่าที่มาที่ไปของตัวละครได้เชื่องช้า ไม่กระเตื้องไปข้างหน้าสักเท่าไหร่ อันที่จริงเราอาจจะบอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า แค่ดูเทรลเลอร์ตัวอย่างภาพยนตร์ของหนังเรื่องนี้ก็แทบจะครอบคลุมสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังทั้งหมด เหลือก็เพียงแค่เอนเครดิตที่บอกเล่าเรื่องราวที่นำไปสู่เหตุการณ์ต่อๆไปในจักรวาลแยกย่อยของสไปเดอร์เวิร์ส

ปัญหาของ Morbius จริงๆแล้ว คล้ายกับหนังเรื่อง Venom ภาคแรกที่พยายามจะบอกเล่าเรื่องราวของ “ตัวร้าย” ที่ไม่ได้เลวอย่างที่คนดูเคยรู้จักกัน ความโหดร้ายป่าเถื่อนของตัวละครเหล่านี้ จริงๆแล้วพวกเขาพยายามต่อสู้กับพลังอำนาจที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมได้ จนท้ายที่สุดตัวละครเหล่านี้ก็มีเหตุจำเป็นที่จะต้อง “สูญเสีย” อะไรบางอย่าง เพื่อจะเรียนรู้ถึงอำนาจที่ตัวเองมีในตอนท้าย

อย่างไรก็ตามแม้หนังจะพยายามนำเสนอประเด็นเพื่อนรักสองคนที่มองโลกในมุมที่แตกต่างกัน ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก แต่น่าเสียดาย (อีกแล้ว) ที่เมื่อตัวละครเพื่อนรักอย่างไมโล (แมทท์ สมิธ) กลายไปเป็นตัวร้าย เขาก็เปลี่ยนไปเหลือแค่เพียงตัวละครวายร้ายหัวกลวงที่มุ่งเน้นแต่จะใช้พลังที่ตัวเองมี เล่นสนุกทำร้ายคนอื่นไปทั่ว จนทำให้มอร์เบียสจำเป็นต้องหยุดเพื่อนรักคนนี้ ก่อนที่คนอื่นในสังคมจะเกิดอันตราย

กล่าวโดยสรุปๆแล้ว Morbius ไม่ใช่หนังที่เลวร้ายขนาดทนดูไม่ได้ หรือชวนง่วงจนหลับคาเบาะ แต่รวมๆแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ หรือมีความจำเป็นต้องดู เรียกว่าถึงพลาดไปก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียดายเช่นกัน

สนับสนุนข้อมูลโดย หนังซับไทย

Sunday, April 10, 2022

คำวิจารณ์แรก Fantastic Beasts The Secrets of Dumbledore จากต่างประเทศ รายละเอียดเยอะ แต่ยังสนุก

หลังจากที่ได้ฉายรอบพรีเมียร์ทีลอนดอนไปแล้วนั้น ล่าสุดสื่อจากต่างประเทศได้เริ่มโพสต์คำวิจารณ์แรกต่อภาพยนตร์ ‘Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore’ ก่อนที่จะเข้าฉายจริงในกลางเดือนเมษายน 2022 นี้ โดยภาพยนตร์จะพาผู้ชมไปพบกับรายละเอียดเบื้องลึกของ Albus Dumbledore ที่รับบทโดย จู๊ด ลอว์ (Jude Law) ที่ต้องต่อกรกับ Grindelwald ที่ได้ แมดส์ มิคเคลสัน (Mads Mikkelsen) มารับบทแทน จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp)

Rachel LaBonte จาก Screen Rant

นี่เป็นภาคตรงกลางของแฟรนไชส์ที่วางไว้ทั้งหมด 5 ภาค ซึ่ง Newt Scamander (รับบทโดย เอดดี เรดเมน) และเหล่าฮีโรชุดใหม่ในโลกเวทมนต์ต้องก้าวเข้าสู่แผนที่ใหญ่ขึ้น โดยแอ็กชันส่วนใหญ่ของภาพยตร์อิงอยู่บนเรื่องของการเลือกตั้งในโลกพ่อมด (หรืออะไรทำนองนั้น) ซึ่งดูผิวเผินนั้นสนุกทีเดียว แต่กลับให้ความรู้สึกไร้จุดหมาย เพราะ Dumbledore ต้องการเก็บซ่อนทุกอย่างจาก Grindelwald และกลายเป็นปัญหาหลักของภาพยนตร์ แต่ลอว์ยังคงเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมเช่นเดิม และเขารับบท Dumbledore ได้ดีมาก

Lovia Gyarkye จาก The Hollywood Reporter

‘The Secrets of Dumbledore’ ไร้เสน่ห์ และยากที่จะทำให้ผู้ชมหลงใหลในโลกพ่อมดที่ถูกทำให้มองว่าเต็มไปด้วยการแบ่งแยก เช่น ดีกับเลว, รวยกับจน, รักกับเกลียด และสว่างกับมืด ซึ่งจะเป็นบทเรียนสำคัญต่อแฟรนไชส์นี้

Peter Bradshaw จาก The Guardian

‘The Secrets of Dumbledore’ เป็นอีกหนึ่งการผจญภัยในโลกแฟนตาซีที่ดูน่ารัก ที่มาพร้อมงานสร้างที่ยิ่งใหญ่และวิชวลเอฟเฟกต์ที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะฉากในนิวยอร์ก แต่การเล่าเรื่องกลับดูสับสน นี่เป็นภาคที่น่าสนใจของแฟรนไชส์ที่เต็มไปด้วยคำถามที่นำไปเกี่ยวโยงกับเส้นเรื่องของ Harrry Potter

Alex Reif จาก Laughing Place

สิ่งแรกที่น่าประทับใจคือการแก้ไขแฟรนไชส์นี้ให้ดีขึ้น แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องบางประการที่เหมือนกับใน ‘The Crime of Grindelwald’ และถึงแม้ว่าตัวละคร Newt จะถูกมองเป็นศูนย์กลางของเรื่อง และการกลับมาของเหล่าสัตว์เวทมนตร์ แต่ในท้ายที่สุดนั้นดูเหมือนว่าความเป็นนักสัตว์วิเศษวิทยาของ Newt ดูเหมือนจะไม่มีส่วนสำคัญในแฟรนไชส์นี้เท่าไรนัก อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงคำวิจารณ์แรกจากสื่อต่างประเทศเท่านั้น ผู้ชมควรใช้วิจารณญาณของตนในการชม ‘Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore’ ซึ่งจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 13 เมษายน 2022 นี้

สนับสนุนข้อมูลโดย แนะนำหนังการ์ตูนแอนิเมชั่น

Saturday, April 9, 2022

ครบรอบ 109 ปี การอับปางของ Titanic และ Jack Dawson ตัวจริงที่บังเอิญอยู่บนเรือ

เป็นเวลากว่าร้อยปีเข้าไปแล้ว หลังจากที่ ‘เรืออาร์เอ็มเอส ไททานิก (RMS Titanic)’ ได้เข้าชนกับภูเขาน้ำแข็งจนจมลงสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อเช้าวันที่ 15 เมษายน 1912 โศกนาฏกรรมครั้งนั้นนับเป็นที่กล่าวขานไปทั่วโลกในฐานะ การดับสูญของ ‘เรือที่ไม่มีวันจม’ ซึ่งนำไปสู่การปรับเปลี่ยนกฎระเบียบความปลอดภัยครั้งใหญ่ในท้องทะเล

80 กว่าปีให้หลัง ผู้กำกับคนหนึ่งนามว่า เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ได้ปลุกชีพเรือลำนี้ให้กลับมามีชีวิตบนแผ่นฟิล์มอีกครั้ง โดยหยิบยกเรื่องราวโศกนาฏกรรมมาเล่าใหม่ ผสมผสานเนื้อหาความรักต่างชนชั้นของชู้รักในตำนานอย่าง แจ๊กกับโรส ที่ตราตรึงใจผู้ชมทั่วโลกมานับแต่นั้น

หากใครได้ชมภาพยนตร์เรื่อง ‘Titanic’ ของคาเมรอนแล้ว อาจพอจับสังเกตได้ว่าตัวละครหลายตัวที่คาเมรอนเลือกหยิบมา มีเค้าโครงมาจากบุคคลจริงที่อยู่บนเรือ แต่เพื่ออรรถรสของผู้สร้าง จึงมีการแต่งเติมเรื่องราวบางส่วนเข้าไป รวมทั้งสร้างตัวละครที่ไม่ใช่บุคคลที่มีอยู่จริงขึ้นมา และหนึ่งในนั้นคือตัวเอกอย่าง แจ๊ก ดอว์สัน ที่แสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio) ผู้ทำให้หญิงทั่วโลกต้องเสียน้ำตามาแล้ว

แม้ว่าเราจะทราบกันดีว่าแจ๊ก ดอว์สัน ในภาพยนตร์เรื่อง ‘Titanic’ นั้นเป็นตัวละครที่แต่งขึ้นมา แต่กลับมีเรื่องที่น่าแปลกประหลาดคือในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมบนเรือไททานิก กลับมีบุคคลที่เป็นแจ๊ก ดอว์สันตัวจริงด้วยซะงั้น และวันนี้ beartai Buzz ก็จะพาคุณไปรู้จักแจ๊ก ดอว์สันที่บังเอิญมีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์จริงของเรือไททานิก

คนแรกคือ โจเซฟ ดอว์สัน (J. Dawson) ชายหนุ่มอายุ 23 ปี ที่ทำงานอยู่บนเรือไททานิก โดยโจเซฟ ดอว์สันเป็นคนที่ไม่ได้มีเงินมากนัก เขาทำงานเป็นช่างกันขนบนเรือเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีในท้องทะเล เช่นเดียวกับตัวละคร แจ๊ก ดอว์สันในหนังผู้ขึ้นเรือมาด้วยความหวังใหม่ แต่ท้ายที่สุดชะตากรรมของโจเซฟก็จบลงเช่นเดียวกับ แจ็ก ดอว์สัน เพราะเขาเสียชีวิตในเช้าอันหนาวเหน็บของวันที่เรืออับปาง

คนต่อมาคือ แจ๊ก เธเยอร์ (Jack Thayer) ผู้ว่ากันว่าหนังได้หยิบเค้าโครงบางอย่างมาจากเขา ชีวิตของเธเยอร์นั้นต่างกับตัวละคร แจ็ค ดอว์สัน ในหนังโดยสิ้นเชิง เพราะแจ๊ก เทเยอร์คือชายหนุ่มผู้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย เขาเพิ่งกลับจากไปทริปเที่ยวยุโรป และใช้ไททานิกเป็นพาหนะสำหรับจุดหมายปลายทางของการกลับบ้าน

แม้ว่าในตอนที่อยู่บนเรือสถานะทางสังคมของเธเยอร์จะไม่สูงมากนัก แต่นี่ก็นับว่ามีความมั่งคั่งพอตัว ในขณะที่อยู่บนเรือเขาได้มีความสัมพันธ์กุ๊กกิ๊กกับนักแสดงที่แต่งงานแล้วคนหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาสนุกกับมันมาก เมื่อไททานิกเกิดชนภูเขาน้ำแข็ง เธเยอร์ก็เป็นผู้โดยสารกลุ่มแรกที่ได้ขึ้นเรือชูชีพแต่ในจังหวะที่เรือชูชีพจะออก เขาก็ได้สละที่นั่งของเขาให้ผู้หญิงกับเด็ก และตัดสินใจเผชิญหน้าต่อบนเรือที่กำลังจม

ในขณะนั้น เธเยอร์ตัดสินใจโดดลงไปในน้ำที่เย็นจัด จนทำให้เขาเกือบตาย แต่โชคดีที่เรือชูชีพหล่นลงมา ทำให้เขาขึ้นเรือได้ทันและรอดตายจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้อย่างหวุดหวิด หลังจากเหตุการณ์นั้น เธเยอร์ได้เขียนหนังสือชื่อ ‘Jack Thayer and the Wreck of the Titanic’ ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาบนเรือไททานิก และถ้ามองจากชีวิตอันโลดโผนของชายหนุ่มไฮโซคนนี้แล้ว คุณผู้อ่านก็น่าจะเดาได้เลยว่าชีวิตของเธเยอร์ เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวละคร ‘โรส’ ที่เล่นโดย เคต วินสเล็ต (Kate Winslet) นั่นแหละ

เป็นเรื่องน่าแปลกใจอย่างมาก ที่ตัวละครในภาพยนตร์ ‘Titanic’ นั้นคล้ายคลึงกับบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงโดยไม่ตั้งใจ เราคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ไม่ว่าจะผ่านไปอีกนานเท่าไหร่เรื่องราวของ ‘Titanic’ ทั้งโศกนาฏกรรมและหนังของคาเมรอน จะเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของประวัติศาสตร์ที่ผู้คนทั่วโลกยากที่จะลืมเลือน

สนับสนุนข้อมูลโดย ข่าวสารภาพยนตร์ รีวิวหนังดัง

Friday, April 8, 2022

คริส อีแวนส์ และ สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งใน Project Artemis

ทำแฟนๆใจชื่นอีกแล้วสำหรับ  คริส อีแวนส์ (Chris Evans) และ สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน (Scarlett Johansson) ที่ล่าสุดได้เซ็นสัญญาแสดงนำในโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ใหม่ที่มีชื่อว่า ‘Project Artemis’ ซึ่งจะเป็นการทำให้นักแสดงทั้ง 2 คน ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง

จริง ๆ แล้ว อีแวนส์และโจแฮนส์สันได้ร่วมงานกันมาครั้งแรกใน ‘The Perfect Score’ (2004) และ ‘The Nanny Diaries’ (2007) จากนั้นได้ร่วมงานกันมาอย่างยาวนานในแฟรนไชส์ MCU (Marvel Cinematic Universe) ตั้งแต่ ‘The Avengers’ (2012) เรื่อยมาจนถึง ‘Captain America: The Winter Soldier’ (2014), ‘Avengers: Age of Ultron’ (2015), ‘Captain America: Civil War’ (2016), ‘Avengers: Infinity War’ (2018)และ ‘Avengers: Endgame’ (2019)

หลังจากที่หมดบทบาทใน MCU อีแวนส์ได้หันไปรับบทอื่น ๆ มากมาย เช่น รับบทสมทบใน ‘Knives Out’ (2019), ให้เสียงพากย์เป็น Buzz Lightyear ในแอนิเมชัน ‘Lightyear’ และกำลังถ่ายทำภาพยนตร์จารกรรมระทึกขวัญ ‘The Grey Man’ ของพี่น้องรุสโซ (Russo Brother) ที่กำกับ ‘Avengers: Infinity War’ และ ‘Avengers: Endgame’

ส่วนโจแฮนส์สันนั้น ได้รับบทสุดท้ายใน MCU ไปใน ‘Black Widow’ (2021) ‘Project Artemis’ จะกำกับโดย เจสัน เบทแมน (Jason Bateman) นักแสดงหนุ่มที่เริ่มหันมาเป็นผู้อำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์ โดยเขามีผลงานกำกับก่อนหน้านี้อย่าง ‘Bad Words’ (2013) และหลายตอนของซีรีส์ ‘Ozark’ (2017-2022) ที่ได้รับคำชมมากมาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการประมูลซื้อสิทธิ์ไปจัดจำหน่ายโดย Apple TV+ ด้วยมูลค่ามหาศาลกว่า 100 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 3,350 ล้านบาท

สนับสนุนข้อมูลโดย ข่าวโหนกระแส


Thursday, April 7, 2022

วิลล์ สมิธ ประกาศลาออกจาก The Academy พร้อมกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ

กลายเป็นประเด็นที่แฟนๆวงการการภาพยนตร์ทั่วโลกให้ความสนใจ และตกใจเข้าไปใหญ่เมื่อเว็บไซต์ Variety ได้รายงานว่า วิลล์ สมิธ (Will Smith) ได้ออกมาขอโทษต่อคณะกรรมการของสถาบัน Academy of Motion Picture Arts and Sciences ซึ่งเป็นผู้จัดงานประกาศรางวัล ‘Academy Award’ หรือออสการ์ (Oscar) อย่างจริงใจ พร้อมกับประกาศลาออกจากความเป็นสมาชิกของสถาบัน และจะยอมรับผลที่ตามมาทั้งหมดตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร

“การกระทำของผมในงานประกาศรางวัล Academy Awards ครั้งที่ 94 นั้น เป็นสิ่งที่น่าตกใจ, เจ็บปวด และไม่น่าให้อภัย ผมได้ทำร้ายความรู้สึกคนไปมากมาย รวมถึงคริส (หมายถึง คริส ร็อก), ครอบครัวของเขา และเพื่อน ๆ อันเป็นที่รักของผม, ผู้ที่มาร่วมงานทั้งหมด และผู้ชมทั่วโลกที่รับชมอยู่ที่บ้าน

ผมได้ทรยศต่อความไว้วางใจของ Academy และทำให้ผู้เข้าชิงและผู้ชนะรางวัลคนอื่น ๆ ไม่มีโอกาสที่จะได้ฉลองความสำเร็จของตนอย่างเต็มที่ ผมใจสลายเลย และต้องการให้ความสำคัญต่อผู้ที่สมควรได้รับความสนใจในความสำเร็จจริง ๆ และให้ Academy ได้กลับไปทำงานที่น่าทึ่งเพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ไปต่อไป ดังนั้นผมจึงขอบาออกจากความเป็นสมาชิกของ Academy of Motion Picture Arts and Sciences และจะยอมรับสิ่งที่ตามมาทุกอย่างตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร การเปลี่ยนแปลงนั้นต้องใช้เวลา และผมจะมุ่งมั่นทำงานเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ทำให้ความรุนแรงเข้ามาอยู่เหนือเหตุผลอีกต่อไป”

การประกาศของสมิธในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้ตบหน้า คริส ร็อก (Chris Rock) พิธีกรงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 94 กลางเวที เนื่องจากร็อกได้ปล่อยมุกล้อเลียนภรรยาของเขา แม้ว่าสมิธจะได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ ‘King Richard’ พร้อมกับขึ้นเวลากล่าวถ้อยคำของอภัยที่ทุกคนในงานพร้อมใจกับยืนขึ้นปรบมือให้ แต่เข้าก็ถูกสื่อในสหรัฐฯ วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในประเด็นการใช้ความรุนแรง

ในตอนนี้มีหลายสื่อออกมารายงานไม่ตรงกัน บ้างว่าสมิธนั้นถูกขอให้ลาออกจาก Academy บ้างก็รายงานว่าสมิธถูกขอให้อยู่ใน Academy ต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ สมิธได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนอย่างเต็มที่ ในขณะที่ทาง Academy ก็ยังมิได้ประกาศการลาออกของเขาอย่างเป็นทางการ และต้องการพิจารณาเพื่อวางมาตรการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันมิให้เกิดการณ์รุนแรงเช่นนี้ขึ้นอีก ข่าวสารภาพยนตร์ รีวิวหนังดัง



Wednesday, April 6, 2022

"ผิดล้างผิด ไม่เท่ากับถูก" บทเรียนจากเหตุการณ์ "วิลล์ สมิธ" ตบ "คริส ร็อก"

น้อยคนนักที่จะรู้ว่าหนังเรื่อง ‘CODA’ ได้รางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่ทุกคนทั่วโลกรู้ว่า “วิลล์ สมิธ เดินขึ้นเวทีไปตบหน้าคริส ร็อก” บนเวทีออสการ์ที่ถ่ายทอดสดไปทั่วโลก สาเหตุที่สมิธกระทำเช่นนั้นก็เพราะเขารู้สึกเดือดดาลที่ร็อกไปพูดจาเสียดสี เจดา พิงคิตต์ สมิธ ภรรยาของเขาที่เป็นโรคผมร่วงมานานหลายปี ด้วยการปล่อยมุกแซวบนเวทีว่า “อยากเห็นคุณไปเล่น ‘G.I. Jane’ ภาคสอง”

เหตุการณ์ “วิลล์ สมิธ ตบหน้า คริส ร็อก” กลายเป็นประเด็นดราม่าในโลกโซเชียลไปทั่วโลก ตามมาด้วยข้อถกเถียงว่าใครกันแน่ที่ผิด ใครกันแน่ที่ถูก หรือใครกันแน่ที่ผิดกว่า การกระทำของคริส ร็อก เห็นได้ชัดว่าเป็นการปล่อยมุกจน “ล้ำเส้น” โดยเฉพาะในยุคที่ทุกคนเลิกพูดจาเหยียดคนอื่น (Verbal Bullying) เลิกวิจารณ์รูปร่างและภาพลักษณ์ของคนอื่น (Body Shaming) ตรงนี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของร็อกและน่าจะเป็นบทเรียนอันยิ่งใหญ่ให้กับเขา รวมทั้งผู้ดำเนินรายการคนอื่น ๆ ในการปล่อยมุกแซวแขกมาร่วมงาน เพราะ “บางเรื่องก็ไม่ตลก”

แต่การที่วิลล์ สมิธ ฟิวส์ขาด เดินขึ้นไปตบหน้าคริส ร็อก บนเวทีแล้วลงมานั่งตะโกนด่า (ด้วยคำที่มีตัวอักษร F) อีกสองประโยค ถือเป็นการปกป้องภรรยาในทางที่ถูกต้องและสมควรแล้วหรือ? หลายคนในโลกโซเชียล (โดยเฉพาะในบ้านเรา) มีความเห็นส่วนใหญ่ออกมาในทางเห็นด้วยกับการกระทำของวิลล์ สมิธ ถือว่าการเดินขึ้นไปตบหน้าเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีของภรรยา และคริส ร็อก สมควรแล้วที่ถูกตบหน้า เนื่องจากปากเสียปล่อยมุกตลกที่กระทบกระเทือนจิตใจภรรยาเขา

ในขณะเดียวกันหลายคนในโลกโซเชียล (ส่วนใหญ่เป็นโลกตะวันตก) รับไม่ได้กับการใช้ความรุนแรงของสมิธ แม้จะไม่ได้เห็นด้วยกับมุกตลกของร็อกก็จริง แต่สมิธมีวิธีแก้ไขปัญหาและแสดงความไม่พอใจได้อีกหลากหลายวิธี เช่น เดินจูงมือเจดาลุกเดินออกไปนอกฮอลล์ หากทำแบบนั้นทุกคนจะทราบดีว่าเขาและภรรยาไม่พอใจ หรือสมิธอาจทนไม่ไหวจริง ๆ เดินขึ้นไปบนเวที บอกร็อกและผู้ชมทุกคนว่า “เธอเป็นโรคนะ อย่ามาล้อเล่น” หรือกระทั่งตอนที่สมิธได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก ‘King Richard’ เขาสามารถพูดอธิบายเรื่องนี้ได้ วิธีต่าง ๆ ที่กล่าวมาจะทำให้เขาดูเป็นสุภาพชน เป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่น่ายกย่อง และเป็นนักแสดงรางวัลออสการ์ที่มีความเป็น “มืออาชีพ” (อย่างน้อย คริส ร็อก ก็ยังแสดงความเป็นมืออาชีพในการดำเนินรายการต่อหลังจากที่โดนตบบนเวที)

ไม่ผิดหรอกหากคุณจะเห็นใจสมิธและภรรยา รู้สึกเกลียดคอเมเดียนปากเสียคนนี้เต็มที แต่หากคุณรู้สึกถึงขั้นว่าคนที่พูดจาไม่ดี สมควรแก่การโดนตบ รู้สึกสะใจที่เห็นคนถูกกระทำด้วยความรุนแรงแบบนี้ นั่นเท่ากับคุณสนับสนุนความรุนแรงโดยไม่รู้ตัว มีสุภาษิตของฝรั่งที่พูดว่า “Two wrongs don’t make it right” แปลเป็นไทยประมาณว่า “การใช้ความผิดไปล้างผิด ไม่เท่ากับถูก” อย่างในกรณีนี้หากสมิธไม่โต้กลับด้วยความรุนแรง สมิธจะเป็นฝ่ายถูกทันที และร็อกจะถูกประณามจากคนทั่วโลกมากกว่านี้ แต่สมิธเลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยการเดินขึ้นไปตบหน้า ทำให้เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ “ผิดเท่ากัน” แต่สมิธยัง “ผิดมากกว่า” ด้วย เพราะการใช้ความรุนแรงทางร่างกาย เป็นสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการพูดจาไม่ดีใส่กัน

ที่สำคัญ วิลล์ สมิธ เป็นนักแสดงวัย 53 ปี อยู่ในวงการบันเทิงมานาน มีภรรยา มีลูกสามคน และเขารู้ดีว่างานประกาศผลรางวัลออสการ์เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ มีเกียรติ และถ่ายทอดสดไปยังผู้ชมทุกเพศทุกวัยที่อยู่ทั่วโลก ที่สำคัญบทที่ทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ตัวแรกคือ ริชาร์ด วิลเลียมส์ คุณพ่อตัวอย่างที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักกีฬาชื่อดัง แต่การกระทำของเขาสวนทางกับคำว่า “คุณพ่อตัวอย่าง” โดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นไม่ถึงวัน วิลล์ สมิธ ได้ออกมาเขียนขอโทษคริส ร็อก และสถาบันออสการ์ รวมทั้งครอบครัววิลเลียมส์อย่างเป็นทางการ เขายอมรับว่าการกระทำที่ใช้ความรุนแรงของเขาเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้โดยไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ซึ่งนี่ก็ถือเป็นความน่าชื่นชมของสมิธที่ออกมากล้ายอมรับผิดในการกระทำของตนเองอย่างรวดเร็ว และเชื่อว่าคนทั้งโลกก็พร้อมที่จะให้อภัยผู้ชายคนนี้

สนับสนุนข้อมูลโดย หนังซับไทย


Tuesday, April 5, 2022

บรูซ วิลลิส (Bruce Willis) ยืนยันอำลาวงการ หลังตรวจพบเป็นโรค Aphasia

บรูซ วิลลิส (Bruce Willis) นักแสดงรุ่นใหญ่ที่อยู่ในวงการมานานเกือบ 50 ปี ได้อำลาการแสดงภาพยนตร์อย่างเป็นทางการ ภายหลังจากตรวจพบว่าเป็นโรค Aphasia โดย รูเมอร์ วิลลิส (Rumer Willis) ลูกสาวของเขา ได้ออกมาประกาศยืนยันข้อมูลนี้ พร้อมกับโพสต์ข้อความว่า

“บรูซอันเป็นที่รักของเราประสบปัญหาด้านสุขภาพและเพิ่งได้รับการวินิจฉัยว่า Aphasia ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการรับรู้ และหลังจากที่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วนั้น บรูซจึงก้าวออกจากอาชีพการแสดง ซึ่งเป็นอาชีพที่มีความหมายต่อเขาอย่างมาก” Aphasia หรือ อะเฟเซีย เป็นโรคที่เกิดจากความเสียหายของสมอง ซึ่งส่งผลทำให้เกิดความบกพร่องด้านความเข้าใจคำพูด, นึกคำที่จะพูดได้ยาก และพูดทวนคำซ้ำได้ยาก

วิลลิสเริ่มเป็นที่รู้จักจากการรับบทนำในซีรีส์ดราม่าคอเมดี้เรื่อง Moonlight โดยได้เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากการรับบทเจ้าหน้าที่ตำรวจ John McClane ใน ‘Die Hard’ (1988) ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจนมีภาคต่อมาอีก 4 ภาค

นั่นทำให้วิลลิสถูกจดจำในภาพลักษณ์ของนักแสดงแอ็กชั่น โดยเขามีผลงานที่น่าจดจำอีกหลายเรื่อง เช่น Hudson Hawk (1991), ‘The Last Boy Scout’ (1991), ‘Striking Distance’ (1993), ‘Pulp Fiction’ (1994), ‘The Fifth Element’ (1997) และ ‘Armageddon’ (1998) เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุค 2000s เขาเริ่มหันมาแสดงบทบาทที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ‘The Sixth Sense’ (1999), ‘Unbreakable’ (2000) และ ‘Sin City’ (2005) จนกระทั่งในยุค 2010s เขาก็เริ่มลดบทบาทมาแสดงในบทเล็ก ๆ ในภาพยนตร์ที่ถูกส่งลงดีวีดีและบริการสตรีมมิงโดยตรงหลายเรื่อง

สนับสนุนข้อมูลโดย แนะนำหนังการ์ตูนแอนิเมชั่น


Monday, April 4, 2022

CODA กับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ปีล่าสุด ทำไมคุณจึงไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้

เป็นเรื่องน่าเสียดายอยู่ไม่น้อยที่ตลอดห้วงวันจันทร์ที่ผ่านมา ข่าวภาพยนตร์ต่างประเทศแต่ละสำนักดูเหมือนจะให้พื้นที่กับ “ซีนตบ” ของนักแสดงอย่างวิลล์ สมิธเสียจนไม่เหลือพื้นที่อื่นๆให้พูดถึงงานประกาศผลรางวัลในครั้งนี้ จนเราอาจจะกล่าวได้เลยว่ารางวัลสูงสุดของเวทีออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้รับการกล่าวถึงน้อยกว่าโมเมนต์ฉาวชวนดราม่าเสียอีก

CODA กับเรื่องราวอันแสนน่าประทับใจ

ตัวหนังจะเล่าเรื่องราวของรูบี้ รอสซี่ (เอมิเลีย โจนส์) เด็กสาวมัธยมธรรมดาๆ  ที่โตมาในครอบครัวที่ พ่อแม่และพี่ชายหูหนวก ในทุกเช้ามืดเธอจะต้องตื่นนอนก่อนตะวันจะขึ้นเพื่อออกเดินทางไปกับครอบครัวผู้ประกอบอาชีพชาวประมง โดยรูบี้ต้องทำหน้าที่เป็นคนให้สัญญาณสื่อสารด้วยภาษามือให้กับพี่ชาย ลีโอ (แดเนียล ดูแรนต์) ผู้ที่หูหนวกเช่นเดียวกับพ่อแม่ นอกจากนี้เธอยังต้องคอยช่วยเหลือ แฟรงค์ ผู้เป็นพ่อ (ทรอย คอตเซอร์) และแจ็คกี้ ผู้เป็นแม่ (มาร์ลี แมตลิน นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์) สิ่งเดียวที่รูบี้ทำแล้วจะพอปลดปล่อยความทุกข์ในชีวิตได้คือการร้องเพลงบนดาดฟ้าเรือ

เมื่อสิ้นสุดภารกิจในยามเช้ากับการช่วยเหลือครอบครัวทำงาน รูบี้ต้องเดินทางไปโรงเรียนไฮสคูลตามวิถีวัยรุ่นทั่วไป อย่างไรก็ตามด้วยประสาความเป็นเด็กสาว เธอได้แอบชอบไมลส์ (เฟอร์เดีย วอลช์-พีโล) รูบี้จึงตัดสินใจสมัครเข้าร่วมชมรมขับร้องประสานเสียง ตอนแรกเพียงเพราะเธออยากใกล้ชิดกับคนที่ชอบ แต่กลับกลายเป็นว่าครูสอนวิชาดนตรีอย่างเบอร์นาโด วิลลาโลโบส (ยูจินีโอ เดอร์เบซ) ได้เล็งเห็นความสามารถในการร้องเพลงของรูบี้ เขาจึงอยากจะผลักดันให้เธอได้มีโอกาสชิงทุนการศึกษาจากสถาบันดนตรีเบิร์กลีย์

เด็กสาวจากครอบครัวชาวประมงที่ตัวเองรู้สึกอยู่ตลอดเวลา ว่าตัวเธอเองอยู่ในครอบครัวที่แปลกประหลาด ถูกล้อจากบรรดาเพื่อนในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นคาวปลาหรือกระทั่งสภาพครอบครัวของเธอที่เป็นใบ้ รูบี้กลายเป็นเด็กสาวที่หวาดกลัวอนาคต เธอลังเลกับโอกาสที่กำลังรอคอยเธออยู่ นอกจากนี้เมื่อรูบี้ เปรียบเสมือน “กระบอกเสียง” ของครอบครัว ทำให้เธอยืนอยู่ระหว่างทางแยกที่ตัวเองต้องตัดสินใจครั้งสำคัญว่า เธอจะเติมเต็มความฝันของตัวเอง หรือต้องอยู่ประคับประคองครอบครัวต่อไป 

สนับสนุนข้อมูลโดย ข่าวสารภาพยนตร์ รีวิวหนังดัง










ออสการ์ 2023: “มิเชล โหย่ว” ผู้หญิงเอเชียคนแรกที่ได้รางวัลนักแสดงนำหญิง

มิเชล โหย่ว (Michelle Yeoh) สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับเวทีออสการ์ ด้วยการเป็นนักแสดงเชื้อสายเอเชียคนแรกที่ได้รางวัลนักแสดงนำหญิงบนเวที...