แม้ว่า ‘ธอร์’ (Thor) ที่รับบทโดย ‘คริส เฮมส์เวิร์ธ’ (Chris Hemsworth) จะไม่ใช่คาแรกเตอร์ซูเปอร์ฮีโรตัวแรกของ Marvel Cinematic Universe (MCU) ที่มีภาพยนตร์เดี่ยวมากพอจนสามารถเรียกว่าเป็นแฟรนไชส์ได้ แต่หลังจากที่ทาง มาร์เวลสตูดิโอส์ (Marvel Studios) ได้ทำการปล่อยทีเซอร์แรกของ ‘Thor: Love and Thunder’ (2022) ภาพยนตร์เดี่ยวลำดับที่ 4 ของซูเปอร์ฮีโรเทพเจ้าสายฟ้าคนนี้
นั่นทำให้ ณ เวลานี้ ธอร์จึงกลายเป็นซูเปอร์ฮีโรคนเดียวที่มีภาพยนตร์เดี่ยวมากที่สุดในบรรดาภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรแยกเดี่ยว ๆ ของ MCU ทั้งหมด เรียกได้ว่า ธอร์กลายเป็นซูเปอร์ฮีโรที่มีภาคต่อมากกว่าซูเปอร์ฮีโรอื่น ๆ ของ MCU ทั้ง ‘กัปตันอเมริกา’ (Captain America) ‘ไอรอนแมน’ (Iron Man) หรือแม้แต่ ‘สไปเดอร์-แมน’ (Spider-Man) (ที่ตอนนี้มีเพียงแค่ 3 ภาคเท่า ๆ กัน) ด้วยซ้ำ
ในขณะที่วันนี้ MCU เดินทางมาถึงเฟสที่ 4 ซูเปอร์ฮีโรเทพเจ้าอย่างธอร์ กลายเป็นซูเปอร์ฮีโรไม่กี่ตัวที่ยังคงได้มีโอกาสสานต่อตำนาน และได้มีโอกาสสานต่อเรื่องราวใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นในภาคใหม่ที่กำลังจะฉายในอีกไม่นานนี้ ในขณะที่ซูเปอร์ฮีโรจากยุค ‘อินฟินิตีซากา’ (Infinity Saga) ส่วนใหญ่ล้วนหายไป หรือไม่ก็ถูกลดบทบาทลงอย่างน่าใจหาย นี่คือ 3 เหตุผลที่เทพเจ้าธอร์ยังคงแข็งแกร่ง และสร้างความตื่นเต้นให้แก่เหล่าแฟน ๆ มาจนถึงยุคมัลติเวิร์สในวันนี้
สนับสนุนข้อมูลโดย ข่าวต่างประเทศ
No comments:
Post a Comment