แม้ว่าก่อนหน้าหนังเวอร์ชั่นปี 2022 จะมีการสร้างภาคต่ออกมาหลายภาคก็ตาม บางภาคเล่าต่อ บางภาคเล่าเรื่องราวปฐมบท หรือบางภาคก็เลือกจะตีความตัวละคร “ฆาตกร” ซะใหม่ก็ตามที แต่ Texas Chainsaw Massacre คงต้องอยู่ในหมวดหมู่ “ภาคต่อกึ่งรีบูต” หรือนิยามว่าเป็น “รีเควล” ตามแบบฉบับหนัง Scream ได้นิยามไว้ นั่นก็คือเอาตัวละครจากภาคต้นฉบับที่เป็นตำนานกลับมา และใส่ตัวละครใหม่ๆเข้าไป แต่ต้องไม่ทิ้ง “หัวใจ” ของแฟรนไชส์ดั้งเดิมด้วยเช่นกัน
Texas Chainsaw Massacre ในเวอร์ชั่นของ Netflix นั้นเป็นผลงานการกำกับของ เดวิด บลู การ์เซีย ซึ่งเขาตั้งใจจะเล่าเรื่องราวต่อจากปี 1974 โดยทิ้งระยะเวลาห่างกับหนังภาคแรกเป็นเวลาประมาณ 48 ปีด้วยกัน ครั้งนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นในห้วงเวลาปัจจุบัน เมื่อบรรดาวัยรุ่นยุคโซเชียลมีเดีย อินฟลูเอนเซอร์จากเมืองใหญ่ได้เดินทางมายังชนบทเมืองร้างในเท็กซัส เพื่อรีโนเวทพื้นที่แห่งนี้ให้กลายเป็นชุมชนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะสร้างอนาคตไปด้วยกัน
ความรุนแรงมีอยู่ในทุกพื้นที่
ความน่าสนใจของ Texas Chainsaw Massacre อาจจะไม่ได้อยู่ที่ฉากไล่ฆ่า หรือ ความพยายามที่จะเอาตัวละครอย่างแซลลี่ (รับบทโดยโอลเว็น ฟูเอเร เพราะแมริลีน เบิร์น นั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2014) กลับมาในคราบสาวนักบู๊แบบลอรี่ สโตรคใน Halloween ก็ตาม)
ประเด็นเรื่องความรุนแรงที่ถูกกล่าวถึงในตอนต้นเรื่องนั้น เราจะได้เห็นอาการ PTSD ของตัวละครไลลา (เอลซี ฟิชเชอร์) หลังจากที่เธอเคยตกเป็นเหยื่อเหตุการณ์ถูกคนร้ายกราดยิงในโรงเรียน ดูเหมือนว่าบรรดาเพื่อนๆของเธอจะตายหมด มีแค่เพียงไลลารอดชีวิตออกมาเพียงคนเดียว
บางที Texas Chainsaw Massacre อาจจะมีความตั้งใจใส่ประเด็นทางการเมืองเข้าไปเป็นบริบทรองที่เปรียบเปรยได้เท่ากับความรุนแรงที่แอบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและรอวันปรากฏตัวขึ้นอยู่เสมอก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า ประเด็นดังกล่าวดูเหมือนจะจางหายไประหว่างทาง เมื่อศพรายแรกเริ่มปรากฏขึ้นบนจอและเมื่อทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองของหนังไล่เชือด ความเข้มข้นเกี่ยวกับประเด็นความขัดแย้งด้านผิวสี ชาติพรรณ ก็จางหายไปและแทนที่ด้วยเลือดปลอมและเศษอวัยวะที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น! ติดตามรับชม ดูที่นี่
No comments:
Post a Comment